วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

พี่เลี้ยงทางวิชาการ

โปรแกรมพี่เลี้ยง เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งของการพัฒนาบุคลากรในองค์การที่ได้รับความสนใจจากผู้บริหารและมีการนำมาใช้ปฏิบัติแล้วในหลาย ๆ องค์การ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวนี้เน้นการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม (Developmental Partnership) จากบุคคลที่ต้องทำหน้าที่แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลต่างๆ และมุมมองส่วนบุคคลเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และผลักดันให้อีกฝ่ายมีความพร้อมในการทำงาน พร้อมที่จะเจริญเติบโตและมีความก้าวหน้าในสายอาชีพ โปรแกรมการเป็นพี่เลี้ยงจึงป็นรูปแบบของการมองจากคนภายนอกต่อการดำเนินชีวิตปกติและประสบการณ์ในการทำงานของอีกฝ่าย http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?bookID=1438&read=true&count=true
โปรแกรมพี่เลี้ยงจึงเป็นรูปแบบการพัฒนาที่เน้นให้เกิดการสร้างโอกาสในการมีส่วนร่วม การแก้ไขปัญหาและการกำหนดเป้าหมายเพื่อให้งานบรรลุผลสำเร็จตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ซึ่ง John C.Crosby ได้กล่าวว่าโปรแกรมการเป็นพี่เลี้ยงหมายถึงโปรแกรมที่ต้องใช้ความคิดในการวิเคราะห์ ใช้หูในการรับฟัง และการนำเสนอทิศทางที่ถูกต้องให้กับอีกฝ่ายดังนั้นรูปแบบของการเป็นพี่เลี้ยงจึงเป็นกระบวนการของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ หรือที่เรียกว่า Mentor ให้กับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานในองค์การนั้นไม่มากนัก หรือที่เรียกว่า Mentee นอกจากนี้ Nigel MacLennan ได้ให้คำนิยามของ Mentor และ Mentoring ไว้ว่า Mentor คือผู้ที่พร้อมช่วยให้ผู้ปฏิบัติ ได้เกิดการเรียนรู้ และ Mentoring หมายถึงกระบวนการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลที่ได้รับการมอบหมายให้พัฒนาผ่านเครื่องมือนี้

ลักษณะพิเศษของโปรแกรมพี่เลี้ยง
ผู้เป็นพี่เลี้ยงนั้นสามารถเป็นบุคคลอื่นไม่จำเป็นที่พี่เลี้ยงจะต้องเป็นหัวหน้างานโดยตรง ซึ่งความหมายของการเป็นพี่เลี้ยงนั้นมีความหมายรวมถึง การเป็นผู้สนับสนุน (Advocate) คือเป็นผู้ให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือ การเป็นผู้สอนงาน (Coach) คือเป็นผู้ทำหน้าที่ในบทบาทผู้สอนงาน และการเป็นผู้ให้คำปรึกษา (Consultant) โดยทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ดูแลทั้งการทำงาน การวางแผนเป้าหมายในอาชีพให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีความสามารถที่สูงขึ้น และการใช้ชีวิตส่วนตัว ในรูปแบบทั้งทางการและไม่เป็นทางการ โดยบางองค์กรเรียกโปรแกรมเป็นพี่เลี้ยงนี้ว่า Mentoring Program หรือบางองค์การเรียกว่า Buddy System เป็นต้น

ขั้นตอนของโปรแกรมพี่เลี้ยง
การทำ Mentoring Program มีขั้นตอนและหลักปฏิบัติในรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ขั้นตอนกำหนดตัวพี่เลี้ยง การใช้เครื่องมือ Mentoring Program นั้น การคัดสรรบุคลากรที่จะเป็นพี่เลี้ยงที่เหมาะสมมีความสำคัญมาก ลักษณะพี่เลี้ยงที่เหมาะสมควรมีลักษณะ ดังนี้\
มีความพร้อม / ยินดีที่จะเป็นพี่เลี้ยง

มีความคิดเชิงบวก
อายุตัว/อายุงานมีความเหมาะสม
เป็นผู้รับฟังที่ดี
มีการสื่อสารที่ดี
รักษาความลับได้
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ชอบพบปะผู้คน
มีอารมณ์มั่นคง
มีความอดทนและความรับผิดชอบ
มีจริยธรรมที่ดีในการทำงาน
มีทัศนคติที่ดีกับองค์การ
เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายอาชีพด้านใดด้านหนึ่ง
เป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงาน
มีทักษะการบังคับบัญชาที่ดี
มีความใฝ่เรียนรู้ ต้องการการพัฒนาอยู่เสมอ
2) ขั้นตอนสำรวจข้อมูลพนักงาน ผู้เป็นพี่เลี้ยงที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องสำรวจข้อมูลที่เกี่ยวกับพนักงานที่เป็น Mentee ก่อน จากทะเบียนประวัติหรือใบสมัครงานของพนักงาน เพื่อทำความเข้าใจถึงตัวพนักงานในเรื่องต่างๆ ดังนี้
พนักงานใหม่
ประวัติการทำงาน
ประวัติการศึกษา
ประวัติครอบครัว
งานอดิเรก
พนักงานที่กำลังจะปรับตำแหน่ง
ประวัติการฝึกอบรมและการพัฒนาอื่นๆ
ประวัติการเลื่อนระดับ/ตำแหน่งงาน

ผลการทำงานที่ผ่านมาในองค์การ

จุดแข็งและจุดอ่อนของพนักงาน

3) ขั้นตอนการทำความเข้าใจ ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องทำความเข้าใจกับพนักงานก่อนถึงวัตถุประสงค์ของการเป็นพี่เลี้ยง ระยะเวลาในการเป็นพี่เลี้ยง เป้าหมายหรือผลที่คาดหวัง บทบาทหน้าที่ของพี่เลี้ยงและพนักงาน ช่วงระยะเวลาในการติดตามและให้ข้อมูลป้อนกลับระหว่างผู้เป็นพี่เลี้ยงและพนักงาน ในขั้นตอนนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับโปรแกรมพี่เลี้ยง ทั้งนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องยินดีและรับฟังคำถามหรือประเด็นต่างๆจากพนักงาน รวมถึงการชี้แจงเพื่อให้พนักงานเข้าใจถึงลักษณะของโปรแกรมการเป็นพี่เลี้ยงที่ถูกต้อง
4) ขั้นตอนการปฏิบัติ เนื่องจากว่าโปรแกรมพี่เลี้ยงเป็นรูปแบบใหม่ของการพัฒนาที่ทั้ง Mentor และ Mentee อาจจะไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนหรือกระบวนการของการเป็นพี่เลี้ยงเท่าไหร่นัก และเพื่อให้โปรแกรมดังกล่าวนี้เป็นไปด้วยดี เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้เป็นพี่เลี้ยงและพนักงาน ในขั้นนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องปฏิบัติตามหลักการ 5 ข้อที่จำเป็นในการผลักดันให้โปรแกรมดังกล่าวนี้ประสบความสำเร็จได้แก่

•Partnership Building
ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องสร้างความรู้สึก ความผูกพันร่วมกันในเป้าหมายและความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการทำงาน
•Time
ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องกำหนดระยะเวลาในการพูดคุยและตกลงร่วมกันถึงเป้าหมายที่ต้องการให้ประสบความสำเร็จเป็นระยะ
•Respect
ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องเคารพและยอมรับความคิดเห็นและการแสดงออกของพนักงานด้วยความเต็มใจและจริงใจ
5) ขั้นตอนการติดตามและประเมิน โปรแกรมพี่เลี้ยงจะสิ้นสุดตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ระหว่างพี่เลี้ยงกับพนักงาน ขั้นตอนนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องประเมินผลการทำงาน การรับรู้ และทัศนคติของพนักงานว่าปรับเปลี่ยนไปและสามารถปรับตัวต่อการทำงานได้หรือไม่ รวมถึงการเปิดโอกาสให้พนักงานพูดคุยและสอบถามประเด็นที่สงสัย นอกจากนี้ผู้เป็นพี่เลี้ยงจะต้องทำให้พนักงานเกิดความมั่นใจว่าภายหลังจากเสร็จสิ้นโปรแกรมนี้แล้ว พนักงานยังสามารถพูดคุยหรือขอคำปรึกษาได้จากพี่เลี้ยงได้ เพื่อทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวหรือเกิดความวิตกกังวลใจในการทำงานหรือการใช้ชีวิตอยู่ในองค์การ

สรุปได้ว่าการทำ
Mentoring จะประสบความสำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับองค์การจะต้องมีระบบการคัดเลือก ทดสอบคุณสมบัติ ระบบการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่พี่เลี้ยง เพื่อค้นหา และพัฒนาพี่เลี้ยงให้เป็นบุคลากรที่มีความสามารถ รวมถึงการจัดระบบการฝึกอบรมพัฒนาความสามารถของการเป็นพี่เลี้ยงที่ดี ทำให้พี่เลี้ยงรู้บทบาทหน้าที่ รู้วิธีการและขั้นตอนการเป็นพี่เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ

ที่มาของบทความ
: ศูนย์บูรณาการพัฒนามนุษย์
แวะเยี่ยมชมและสมัครสมาชิกของศูนย์ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับศูนย์ได้ที่ http://www.thaiihdc.org/?p=35

mon9ความหมายของ Mentoring
Mentoring หมายถึง พี่เลี้ยงที่เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเป็นที่ยอมรับ ที่สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำช่วยเหลือ ครู ให้พัฒนาศักยภาพสูงขึ้น เพื่อสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ พี่เลี้ยงหรือ Mentor จะดูแลครู ดังนั้นครูจะได้รับการดูแลจากพี่เลี้ยง เรียกว่า Mentee บางองค์กรจะเรียกระบบพี่เลี้ยง หรือ Mentoring System นี้ว่า Buddy System เป็นระบบที่พี่จะต้องดูแลเอาใจใส่น้อง คอยให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแนะนำ เมื่อ Mentee มีปัญหา สถานศึกษาสามารถกำหนดให้มีระบบการเป็นพี่เลี้ยงให้กับครูที่เข้ามาทำงานใหม่ผู้ เป็น Mentor จะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ผู้นิเทศภายใน ครูต้นแบบ หรือบุคลากรทางการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการศึกษา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการจัดการศึกษา ทั้งนี้ คุณสมบัติหลักที่สำคัญที่บุคคลที่เป็น Mentor ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้แก่ครูใหม่นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่มีทัศนคติ หรือความคิดในเชิงบวก (Positive Thinking) มีความประพฤติดี สามารถปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ Mentee ได้ บทบาทและหน้าที่ที่สำคัญของ Mentor ได้แก่ การถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ต่าง ๆ ในการจัดการศึกษา ให้แก่ครูใหม่ได้รับรู้ รวมถึงจะต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาและชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติตน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร และการตรวจสอบและติดตามผลการให้ความรู้ ความเข้าใจกับครูใหม่ด้วย
Mentoring นอกจากจะใช้กับครูบรรจุใหม่แล้ว ยังสามารถนำวิธีการนี้มาใช้กับครูที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในสถานศึกษา โดยคุณลักษณะของผู้ที่เป็น Mentee ในสถานศึกษาควรมีคุณลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
คุณลักษณะของ Mentee
1. เป็นผู้ที่มีประวัติในการทำงานที่ประสบความสำเร็จ
2. เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน
3. เป็นผู้มีความผูกพันกับสถานศึกษาและการจัดการศึกษา
4. เป็นผู้มีความใฝ่ฝันและความปรารถนาที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
5. เป็นผู้ที่ชอบความท้าทายและเต็มใจ พร้อมที่จะทำงานนอกเหนือจากงานปกติ
6. เป็นผู้ที่มีความปรารถนาที่จะได้รับความก้าวหน้าและเติบโตในสายอาชีพ
7. เป็นผู้ที่เต็มใจรับฟังคำชี้แนะและข้อมูลป้อนกลับจากผู้เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ

จากคุณลักษณะดังกล่าว จะพบว่า Mentee เป็นบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นกว่าบุคคลอื่น ๆ เป็นผู้มีผลงานดีเลิศ (Top Performer) ซึ่งสถานศึกษาจะต้องรักษาไว้ ดังนั้น ผู้ที่เป็น Mentor จึงเป็นเสมือนแม่แบบของ Mentee ด้วย
Mentor นอกจากเป็นแม่แบบของ Mentee แล้ว ยังมีบทบาทของการเป็นผู้สอนงาน (Coach) โดยการสร้างความเข้าใจให้ตรงกันกับ Mentee ในเรื่องของวัฒนธรรมองค์กร ข้อควรระวังหรือประเด็นความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในองค์กร การปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น (Political Praps) รวมถึงการวิเคราะห์จุดแข็ง และข้อที่ควรพัฒนาปรับปรุงของ Mentee เพื่อที่จะได้หาวิธีการในการปรับปรุงความสามารถ และศักยภาพของ Mentee ต่อไป นอกจากนี้ Mentor ยังมีบทบาทของการเป็นผู้สนับสนุน (Advocate) คอยให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือให้ Mentee มีโอกาสเติบโตหรือได้รับความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยให้โอกาสหรือเวทีที่จะแสดงผลงาน แสดงฝีมือและความสามารถในการทำงาน
คุณลักษณะของ Mentor
Mentor ที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีความสัมพันธ์ที่ดี (Interpersonal Skills)
2. การมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น (
Influence Skills)
3. การตระหนักถึงผลสำเร็จในการทำงานของผู้อื่น (
Recognized other’s accomplishment)
4. การมีทักษะของการบังคับบัญชาที่ดี (
Supervisory Skills)
5. มีความรู้ในสายวิชาชีพหรือสายงานของตน (
Technical Knowledge)

บทบาทหน้าที่ของ Mentor
mon6ในสถานศึกษาที่พัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษา ครู และผู้ปฏิบัติงานทุกคน ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกันเป็นทีม การนำ Mentoring แบบกลุ่มมาใช้ในการพัฒนาบุคคลในองค์กร จะมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง โดย Mentoring หรือ Learning Leader จะมีบทบาทและหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. Guide Mentor จะเป็นผู้แนะแนวแก่กลุ่ม Mentee ในการระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน ที่จะสร้างปัญหา และอุปสรรคต่อการทำงานที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดได้ แต่จะไม่เป็นผู้ตัดสินใจเลือกทางให้ แต่จะช่วยให้กลุ่ม Mentee มองเห็นภาพของสถานศึกษาในอนาคต เพื่อให้กลุ่ม Mentee กลับไปทบทวนการปฏิบัติที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ว่าเขาได้ใช้ทักษะ วิธีการ และพฤติกรรมที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร นอกจากนั้น Mentor จะตั้งคำถามที่กระตุ้นให้กลุ่ม Mentee หาคำตอบที่จะทำให้กลุ่มสามารถมองเห็นกลยุทธ์ และเทคนิคใหม่ที่จะนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ดังนั้นการเรียนรู้ของ Mentee ทุกคนซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา ไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองเท่านั้น แต่จะเรียนรู้จาก Mentor และจากประสบการณ์ของ Mentee คนอื่น ๆ ในกลุ่ม
2.
Ally Mentor เป็นพันธมิตรที่คอยให้ข้อมูลแก่ Mentee แต่ละคนในกลุ่ม Mentee เกี่ยวกับจุดอ่อน จุดแข็งของ Mentee แต่ละคน โดยวิธีการให้ Mentee เล่าถึงปัญหาของตน Mentor จะฟังอย่างตั้งใจ เห็นอกเห็นใจ และให้ข้อมูลความเห็นทั้งด้านดีและด้านไม่ดีอย่างตรงไปตรงมา และเป็นมิตร
3.
Catalyst Mentor เป็นผู้กระตุ้นให้กลุ่ม Mentee มองภาพวิสัยทัศน์และอนาคตของสถานศึกษา ว่าจะไปทิศทางใดในอนาคต สถานศึกษาถึงจะดี พันธกิจ เป้าหมาย และกลยุทธ์ และจะมีการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายของการจัดการศึกษา
4.
Savvy Insider Mentor เป็นผู้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในการจัดการศึกษา ทำให้มีแนวทางในการจัดการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ และสามารถให้แนวทางแก่กลุ่ม Mentee ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้บรรลุตามเป้าหมายของสถานศึกษาที่กำหนดไว้ และจะเป็นผู้ทำหน้าที่เชื่อมโยง Mentee กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในสถานศึกษา และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาที่จะสามารถช่วยให้ Mentee เกิดการเรียนรู้ในการปฏิบัติงานได้
5.
Advocate ในขณะที่กลุ่ม Mentee เกิดการเรียนรู้นั้น สมาชิกจะเริ่มมองเห็นว่า ตนเองสามารถผลักดันความเจริญก้าวหน้าและแผนพัฒนาความก้าวหน้าด้วยตนเอง Mentor จะทำหน้าที่ช่วยให้ Mentee ได้มีโอกาสแสดงความสามารถให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ (Visibility) เช่น เมื่อ Mentee เสนอโครงการปฏิบัติงานที่เห็นว่าดี ก็พยายามผลักดันให้โครงการนั้นได้รับอนุมัติให้ดำเนินการได้ เพื่อ Mentee จะได้มีโอกาสแสดงความรู้ ความสามารถ

บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง Stakeholders
การนำระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มมาใช้ จะประสบความสำเร็จต่อเมื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย เพราะ Mentoring ต้องผสมผสาน บูรณาการกับงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ทั้งระบบของสถานศึกษา เช่น งานบริหาร งานบุคคล งานวิชาการ งานกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องนี้จะเป็นบุคคลนอกเหนือจาก Mentor คือ Mentee เช่น หัวหน้างานของ Mentee และผู้ปฏิบัติงานในฝ่ายต่าง ๆ ของสถานศึกษา ซึ่งต้องมีบทบาทหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. Mentee ต้องมีบทบาทในเชิงรุก Mentee ใน Mentoring แบบกลุ่มจะมีบทบาทมากกว่า Mentoring แบบคู่ เพราะ Mentee ต้องช่วยกันสนับสนุนผลักดันกลุ่ม และร่วมกันคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากความรู้ของ Mentor ได้อย่างไร ต้องเป็นผู้กำหนดเป้าหมายของงานที่ตนรับผิดชอบ เพื่อพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง และต้องพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งกันและกัน แบ่งปันข้อมูล ความรู้ และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่กันและกัน และสร้างประสบการณ์ที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนั้น จะต้องแสวงหาความรู้ โดยการเรียนรู้จากสื่อต่าง ๆ การศึกษาและการฝึกอบรม
2. หัวหน้างาน ต้องได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับการดำเนิน
Mentoring เพราะบางครั้งอาจจะเข้าร่วมกิจกรรมด้วย หัวหน้างานต้องมีจิตใจเป็นนักพัฒนา และมีความเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรม เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาในส่วนที่ตนรับผิดชอบต่อสถานศึกษา และต่อตัว Mentee ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หัวหน้างานจะเป็นผู้คอยให้คำแนะนำมอบหมายงานที่จะช่วยให้ Mentee ได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ในการทำงาน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนของ Mentee และเป็นต้นแบบที่ดีในการทำงาน ซึ่ง Mentee สามารถนำไปเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติได้
3. ฝ่ายบุคคล ต้องเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดวิธีการพัฒนาด้วย
Mentoring ขึ้นในองค์กรโดยจัดให้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับ Mentoring แก่ Mentor และ Mentee และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholdes) คัดเลือก Mentee จัดกลุ่มและคอยติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งควรประเมินทุก 6 เดือน

รูปแบบของ Mentoring
Refreshวิธีการ Mentoring ได้เริ่มมีขึ้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคคลให้มีความสามารถสูงและใช้ในการพัฒนาผู้หญิงให้สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารได้เท่าเทียมกับชาย แนวคิดนี้ยังคงอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในสมัยก่อนรูปแบบของ Mentoring จะเป็นแบบคู่ คือ จับคู่กันระหว่าง Mentor 1 คน กับ Mentee 1 คน หรือ 2 คน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เห็นว่าแบบคู่มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น หา Mentor ได้ไม่เพียงพอกับจำนวน Mentee เพราะ Mentor หายากและการที่ Mentee เรียนรู้จาก Mentor เพียงคนเดียวนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากการพัฒนาบุคคลนั้นต้องอาศัยเครือข่ายของกลุ่มคนที่มีความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรวมถึงเครือข่ายในกลุ่มเพื่อนร่วมงานด้วย ปัจจุบันจึงได้มีแนวคิด Mentoring แบบกลุ่ม คือ Mentor 1 คน ต่อ Mentee 4-6 คน ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ตาม การคัดเลือก Mentor จะเลือกจากผู้ที่มีระดับตำแหน่งสูงกว่า Mentee มีประสบการณ์สูง ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงานและสมัครใจเป็น Mentor ส่วนการเลือก Mentee ก็จะเลือกจากผู้มีความรู้ ความสามารถ มีศักยภาพและโอกาสที่จะเลื่อนระดับตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บริการ Mentor และ Mentee จะร่วมกิจกรรม Mentoring โดยการพบปะ ประชุม ปรึกษาหารือกันเป็นระยะ ๆ ปกติโครงการนี้จะกระทำต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 ปี
Mentoring แบบกลุ่มนี้ Mentor จะเป็นผู้นำให้เกิดการเรียนรู้ (Learning Leader) กลุ่มจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด กำหนดประเด็นการพัฒนา ให้คำแนะนำกันเป็นกลุ่ม วิธีนี้จะเป็นการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมด้วย กลุ่ม Mentoring จะกลายเป็นกลุ่มแห่งการเรียนรู้ (Learning Group) ซึ่งคล้ายกับ Learning Team ใน Learning Organization ของ Peter Senge ที่กล่าวว่า เมื่อทีมเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงก่อให้เกิดผลงานที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่สมาชิกแต่ละคนในทีมก็เจริญก้าวหน้าเร็วขึ้นด้วย ในกลุ่มแห่งการเรียนรู้ Mentee ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มจะมีโอกาสเรียนรู้จากเพื่อนสมาชิกด้วยกันและกันจาก Mentor ด้วย
แนวคิดเกี่ยวกับกลุ่มเรียนรู้นั้น กำหนดให้ความรับผิดชอบในการนำและก่อให้เกิดการเรียนรู้กระจายไปยังสมาชิกทุกคน รวมทั้ง Mentor ด้วย แบบกลุ่มนี้จะถือว่า Mentor หรือ Learning Leader เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมากกว่าจะเป็นคนนอก แต่โดยที่ Mentor เป็นผู้มีประสบการณ์และความรู้ที่จะแบ่งปันได้มากกว่า Mentor จึงทำหน้าที่เป็นผู้นำของกลุ่มการเรียนรู้ โดยช่วยให้กลุ่มเข้าใจองค์กร ให้แนวทางแก่กลุ่มเพื่อสามารถวิเคราะห์ประสบการณ์ของตนเอง และช่วยให้กลุ่มกำหนดทิศทางของการพัฒนากระบวนการนี้จะช่วยให้ Mentee เรียนรู้ประสบการณ์และความรู้จาก Mentor ซึ่งมีกระบวนทัศน์แตกต่างจากตน Mentor จะช่วยให้กลุ่มประสบความสำเร็จโดย
1. ช่วยให้กลุ่มกำหนดประเด็นในการประชุมพบปะกัน
2. ให้คำแนะนำหัวข้ออภิปรายและโครงการที่จะช่วยให้กลุ่มเรียนรู้เพิ่มขึ้น
3. กระตุ้นให้กลุ่มแสดงความคิดเห็น
4. ให้คำปรึกษาเมื่อกลุ่มต้องการ
5. สนับสนุนกลุ่มโดยเชื่อมความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มกับบุคคลอื่นในองค์กร
6. ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่สมาชิกในกลุ่มเป็นรายบุคคล

ประโยชน์ของ Mentoring
1. สร้างกลุ่มคนที่มีความสามารถ มีศักยภาพ ได้เร็วกว่าพนักงานปกติ
2. จูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติงานดี และมีศักยภาพในการทำงานสูงให้คงอยู่กับหน่วยงาน
3. กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานสร้างผลงานมากขึ้น พร้อมที่จะทำงานหนักและท้าทายมากขึ้น
4. สร้างบรรยากาศของการนำเสนองานใหม่ ๆ หรือความคิดนอกกรอบมากขึ้น
5. สร้างระบบการสื่อสารแบบสองช่องทาง (
Two Way Communication) ระหว่าง Mentor และ Mentee หัวหน้างานในฐานะ Mentor มีเวลาที่จะคิด วางแผน กำหนดนโยบายและวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมได้มากขึ้น เนื่องจากได้มอบหมายงานส่วนหนึ่งให้ Mentee รับผิดชอบแล้ว
ความแตกต่างของ Coaching กับ Mentoring
การสอนงาน(Coaching) และ การเป็นพี่เลี้ยง(Mentoring) มีความแตกต่างกันที่จุดเน้น กล่าวคือ การสอนงานนั้นผู้บังคับบัญชาจะสอนงานผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของตนเกี่ยวกับวิธีการทำงานในหน้าที่ปัจจุบัน และมีเป้าหมายระยะสั้น ในขณะที่การเป็นพี่เลี้ยงนั้น ผู้ที่เป็น Mentor ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของ Mentee และ Mentee อาจอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน หรือต่างหน่วยงานก็ได้ หากช่วยพัฒนา Mentee ให้เจริญก้าวหน้าไปในสายอาชีพได้กว้างขวางกว่า Coach Mentoring จะมุ่งไปที่การพัฒนาสายอาชีพและจะเป็นการพัฒนา Mentee เพื่อให้เป็นผู้บริหารของหน่วยงานในระดับต่าง ๆ ต่อไป Coaching และ Mentoring อาจดำเนินการควบคู่กันไปได้ เพราะต่างก็เป็นกระบวนการพัฒนาตนเองที่องค์กรต้องเป็นผู้กำหนดขึ้นเช่นกัน
สรุป
Coaching และ Mentoring เป็นเทคนิคในการพัฒนาการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กรที่ต้องการจะให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ Coaching เป็นการสอนงานจากผู้บังคับบัญชาถึงผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง ด้วยวิธีการให้คำแนะนำและสอนงานแบบสองทาง (Two Way Communication) เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตนเองไปพร้อม ๆ กัน ส่วน Mentoring การเป็นพี่เลี้ยง เลือกจากผู้ที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับหรือผู้บริหารในหน่วยงานมาให้คำปรึกษาและแนะนำช่วยเหลือรุ่นน้องหรือผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าในเรื่องที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อการทำงานเพื่อให้มีศักยภาพสูงขึ้น ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับหน้าที่ในปัจจุบันโดยตรงก็ได้ อย่างไรก็ตามทั้ง Coaching และ Mentoring ต่างก็เป็นเทคนิค ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะทำให้ทั้งผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานได้อย่างมีศักยภาพ และองค์กรมีความพร้อมในการรับการเปลี่ยนแปลง มีผลการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงบทความนี้
อัญชลี ธรรมะวิธีกุล: เทคนิคการนิเทศ: ระบบพี่เลี้ยงและการให้คำปรึกษา (
Mentoring)
https://panchalee.wordpress.com/2009/07/28/mentoring/



ใช้ประโยชน์จาก ONE Drive

ไมโครซอฟท์ประกาศเปลี่ยนชื่อบริการ SkyDrive เป็น OneDrive แล้วเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมาส่วนสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจากศาลประเทศอังกฤษได้ตัดสินว่าชื่อ SkyDrive( 1 August 2007 – 18 February 2014)  ที่ไมโครซอฟท์ใช้นั้นไปละเมิดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้าของ British Sky Broadcasting (BSkyB) Group ในทวีปยุโรปทำให้ไมโครซอฟท์จำใจต้องเปลี่ยนชื่อเป็น OneDrive ในที่สุด
ซึ่ง
OneDrive นี้เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลทางออนไลน์ฟรีที่มาพร้อมกับบัญชี Microsoft ของคุณ เหมือนกับฮาร์ดไดรฟ์เสริมที่พร้อมใช้งานจากทุกอุปกรณ์ที่คุณใช้ คุณไม่จำเป็นต้องส่งไฟล์ทางอีเมลให้ตัวคุณเองหรือพกพาแฟลชไดรฟ์ USB ได้ทั่วทุกที่ (และเสี่ยงต่อการสูญหาย) ไม่ว่าคุณจะอยู่บนแล็ปท็อปและทำงานกับงานนำเสนอ ดูรูปถ่ายจากวันหยุดพักร้อนของครอบครัวบนแท็บเล็ตเครื่องใหม่ หรือตรวจสอบรายการช้อปปิ้งบนโทรศัพท์ คุณจะสามารถเข้าถึงไฟล์ของคุณใน OneDrive
OneDrive   เป็นบริการพื้นที่เก็บข้อมูลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud) โดยให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีสำหรับผู้ที่มีบัญชีไมโครซอฟท์ (บัญชี Hotmail, MSN Messenger, Xbox LIVE หรือบริการอื่นๆ ของไมโครซอฟท์) เริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 1 สิงหาคม 2550 (2007) และปัจจุบันมีผู้ใช้ที่แอคทีฟกว่า 250 ล้านคน โดยนอกจากสามารถใช้ในการเก็บข้อมูลแล้วยังสามารถใช้เก็บไฟล์เอกสาร Word, PowerPoint หรือ Excel ที่สร้างขึ้นจากบริการ Office Web Apps ได้อีกด้วย OneDrive ให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีจำนวน 15 GB และสามารถอัพเกรดเป็นบริการแบบเสียค่าสมาชิกได้กรณีที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากเพิ่มเติม โดยมีขนาดความจุให้เลือกใช้งาน 3 ขนาด คือ 50 GB, 100 GB และ 200 GB ในอัตราค่าบริการประมาณ 800 บาท (25$), 1,600 บาท (50$) และ 3,200 บาท (100$) ต่อปี ตามลำดับ
ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศเปิดให้บริการ OneDrive ซึ่งเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลแบบออนไลน์ที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ SkyDrive โดย OneDrive ช่วยให้ทุกคนสามารถจัดเก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ อาทิ รูปภาพ วิดีโอ และเอกสารต่างๆ ซึ่งสามารถเปิดดูได้จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน OneDrive มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการรวมไปถึงการปรับปรุงการแบ่งปันไฟล์วิดีโอ และแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows Phone iOS Android และXbox เพื่อเป็นการเปิดตัว OneDrive ไมโครซอฟท์ยังได้เพิ่มพื้นที่การเก็บข้อมูลเป็น 100 กิ๊กกะไบต์ ให้กับลูกค้าจำนวน 100,000 คนแรกเป็นระยะเวลาหนึ่งปี โดยลูกค้าจะได้รับการแจ้งหากเป็นหนึ่งในผู้โชคดี หรือสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ https://twitter.com/OneDrive
จากข้อมูลการสำรวจล่าสุด มกราคม 2557 ที่จัดทำขึ้นโดยไมโครซอฟท์ 2 พบว่า ร้อยละ 77 ของผู้บริโภคที่มีความคุ้นเคยกับการใช้คลาวด์มีข้อมูลจัดเก็บอยู่ในอุปกรณ์เพียงที่เดียวและไม่มีการสำรองไฟล์ไว้ที่ไหนเลย และร้อยละ 69 ของผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน ยินดีให้อุปกรณ์หายดีกว่าข้อมูลในเครื่องต้องสูญหาย แต่ด้วย OneDrive คุณไม่จำเป็นต้องมากังวลกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป OneDrive ให้พื้นที่จัดเก็บ 7 กิ๊กกะไบต์(ปัจจุบันสิงหาคม 2557 ได้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลฟรี 15 GB.)โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเท่ากับพื้นที่รูปภาพมากกว่า 7,000 รูป ทั้งหมดนี้ ทำให้รูปภาพ วิดีโอ และเอกสารต่างๆ ของคุณ มีความปลอดภัยและสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
การเริ่มต้นใช้งาน OneDrive เป็นเรื่องง่าย คุณสามารถเพิ่มไฟล์บนพีซีของคุณไปยัง OneDrive ด้วยการคัดลอกไฟล์หรือย้ายจากพีซีของคุณ เมื่อคุณบันทึกไฟล์ใหม่ คุณสามารถเลือกที่จะบันทึกไปยัง OneDrive ดังนั้นคุณจึงสามารถเข้าใช้ได้จากทุกอุปกรณ์ และแบ่งปันกับคนอื่นๆ และหากพีซีของคุณมีกล้องแบบในตัว คุณจะสามารถบันทึกสำเนารูปภาพในกล้องของคุณไปยัง OneDrive โดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณมีข้อมูลสำรองอยู่เสมอ เมื่อมีใครสักคนหยิบโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ต่างๆขึ้นมาใช้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการเข้าถึงรูปภาพและเอกสารต่างๆเพียงปลายนิ้วสัมผัส และไม่ต้องคอยไปตามหาจากที่ไหนอีกคริส โจนส์, รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายบริการระบบปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ กล่าว นั่นคือทิศทางที่เราวางไว้สำหรับ OneDrive เราได้ใส่ OneDrive เข้าไว้ในอุปกรณ์และบริการล่าสุดของไมโครซอฟท์ ไม่ว่าจะเป็น Xbox Windows Phone Windows 8.1 ไปจนถึง Office นอกจากนี้เราให้มั่นใจได้ว่า บริการดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ทั้งบนเวปและแพลตฟอร์มอื่นๆรวมทั้ง iOS และ Android เพื่อที่ให้รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์ต่างๆ ถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยและพร้อมใช้ทุกครั้งที่คุณต้องการ
OneDrive เป็นบริการของ Microsoft สำหรับผู้ที่ใช้อีเมล์ของ Hotmail, Outlook อีเมล์ ซึ่งจะได้รับพื้นที่เก็บไฟล์ในอินเตอร์เน็ต เหมือนเรามีฮาร์ดดิสก์หรือแฟลชไดรว์หรือที่เก็บข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไว้เก็บไฟล์ของเรา
ไฟล์ที่เราสามารถอัพโหลดเข้าไปเก็บไว้ มีหลายประเภท สะดวกเวลาที่เราต้องการใช้งาน ก็เพียงแต่เชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เน็ตเข้าไปใช้งานได้ทันที โดยเฉพาะการเข้าไปจัดการด้วยมือถือหรือแท็บเล็ต Android ซึ่งใช้กันเยอะมาก แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้บริการดีๆ แบบนี้ หลายคนยังเก็บไฟล์ไว้ในฮาร์ดดิสก์ พกพา แฟลชไดรว์ หรือมือถือมากกว่า
หลักการทำงานของ OneDrive
1. หลักการง่ายๆ ของ OneDrive จะเป็นบริการสำหรับผู้ที่มีอีเมล์ของ Hotmail, Outlook อีเมล์ มีพื้นที่เก็บไฟล์ของตัวเองในอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างไฟล์ที่ได้อัพโหลดมาเก็บไว้ มีหลายประเภท ไฟล์ภาพ ไฟล์เพลง ไฟล์ซิพ ไฟล์วิดีโอ ฯลฯ
2. ไฟล์ต่างๆ ที่เก็บไว้ในอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ เราสามารถเข้าสู่ระบบ เพื่อเข้าไปจัดการกับไฟล์ได้ง่ายๆ ผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตที่ใช้ระบบ
Android, iPhone/iPad หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราจะสามารถอัพโหลดเพิ่ม ลบ เปลี่ยนชื่อ สร้างโฟลเดอร์จัดเก็บไฟล์ แชร์ให้คนอื่น เข้ามาดู เข้ามาดาวน์โหลดก็ได้
3. ไฟล์ต่างๆ เหล่านี้ เราสามารถแชร์ให้คนอื่นเข้ามาดู หรือแก้ไขได้ โดยการส่งลิงค์สำหรับการแก้ไขไฟล์ผ่านอีเมล์ไปให้คนที่เราต้องการเข้ามาดู ซึ่งเป็นการส่งลิงค์ให้มาเปิดดูรูปภาพที่เราได้อัพโหลดมาเก็บไว้ในพื้นที่ของเรา ตัวอย่างการส่งทางอีเมล์
4. การเปิดดูไฟล์ภาพ โดยคลิกลิงค์ในอีเมล์ที่ผู้รับได้รับ ซึ่งภาพที่แสดงนั้น ผู้รับสามารถเซฟไว้ดูได้ การใช้มือถือหรือแท็บเล็ต Android จะสามารถเซฟหรือโหลดภาพเก็บไว้ในเครื่องได้ทันที
วิธีใช้งาน ONEDRIVE
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า OneDrive ก็คือพื้นที่ฟรี ดังนั้น คงต้องพิจารณาให้ดีก่อนว่า พื้นที่นี้ เราจะเอาไว้ใช้ทำอะไร ซึ่งแนวทางหลักๆ ของการใช้งาน OneDrive ก็คือ การใช้สำหรับเก็บข้อมูล แต่เพื่อให้ชัดเจนและเข้าใจมากยิ่งขึ้น จะขอสรุปการใช้งาน OneDrive ได้ 3 รูปแบบ คือ ใช้สำหรับคัดลอกไฟล์ (copy) การย้ายไฟล์ (move & cut) และท้ายสุด การใช้งานเป็นดิสก์ลูกหนี้
1.       Copy หรือ การย้ายไฟล์ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดไปเก็บไว้บน OneDrive โดยไฟล์ที่เก็บไว้ในโฟลเดอร์ยังอยู่
2.       Cut หมายถึง การย้ายไฟล์ ไปยังไว้บน OneDrive โดยลบไฟล์บนคอมพิวเตอร์ทิ้งด้วย ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้พื้นที่บนคอมพิวเตอร์กลับคืนมา
3.       Disk หมายถึงการใช้ OneDrive เป็นดิสก์ หรือ drive หนึ่งๆ บนคอมพิวเตอร์ไปเลย
วิธีการใช้งานในลักษณะการคัดลอก (COPY)
1.       เปิดเข้า OneDrive
2.       คลิกเลือกโฟลเดอร์บน OneDrive
3.       คลิกขวา เลือก Add File
4.       เลือกเลือกไฟล์จากคอมพิวเตอร์ที่ต้องการ
5.       คลิกลือก copy to OneDrive
วิธีการใช้งานในลักษณะการย้ายไฟล์ (CUT)
1.       เปิดเข้า OneDrive
2.       คลิกข้างๆ โลโก้ OneDrive
3.       คลิกเลือก This PC
4.       เข้าไปโฟลเดอร์ทีเก็บไฟล์
5.       จากรายชื่อที่เห็น คลิกขวาบนไฟล์นั้นๆ เพื่อเลือก (ห้ามคลิกซ้าย เพราะจะหมายถึงการเปิดดูไฟล์)
6.       คลิกเลือกคำสั่ง Cut
7.       คลิกเลือก This PC ด้านบน
8.       คลิกกลับมา OneDrive
9.       เลือกคำสั่ง Paste ด้านล่าง



วิธีการใช้งานในลักษณะการใช้งานเป็น DRIVE
1.       หลังติดตั้ง OneDrive จะพบโฟลเดอร์ OneDrive
2.       เปิดใช้โปรแกรบนคอมพิวเตอร์ตามปกติ
3.       คลิกเลือก Save และเลือก OneDrive แทน
การเพิ่มไฟล์ของคุณไปยัง OneDrive มีสองสามวิธีในการจัดเก็บไฟล์ที่คุณมีอยู่บน OneDrive ขั้นแรก ตัดสินใจว่าคุณต้องการเก็บรักษาไฟล์ต้นฉบับบนพีซีของคุณและเก็บสำเนาไว้บน OneDrive หรือคุณต้องการตัดและย้ายไฟล์จากพีซีไปยัง OneDrive วิธีการคัดลอกไฟล์ไปยัง OneDrive โดยใช้แอป OneDrive
ขั้นที่ 1
บนหน้าจอเริ่ม แตะหรือคลิก OneDrive เพื่อเปิดแอป OneDrive

ขั้นที่ 2
แตะหรือคลิกโฟลเดอร์เพื่อเรียกดูไปยังตำแหน่งที่ตั้งบน OneDrive ที่ซึ่งคุณต้องการเพิ่มไฟล์

ขั้นที่ 3
ปัดนิ้วจากขอบด้านบนหรือด้านล่างของหน้าจอ หรือคลิกขวาเพื่อเปิดคำสั่งของแอป แล้วแตะหรือคลิก เพิ่มแฟ้ม
ขั้นที่ 4
เรียกดูไฟล์ที่คุณต้องการอัปโหลด แตะหรือคลิกเพื่อเลือกไฟล์ แล้วแตะหรือคลิก คัดลอกไปยัง OneDrive

วิธีการย้ายไฟล์ไปยัง OneDrive โดยใช้แอป OneDrive
เมื่อคุณย้ายไฟล์ คุณลบไฟล์ดังกล่าวออกจากพีซีของคุณ และเพิ่มไฟล์นั้นไปยัง OneDrive
1.       แตะหรือคลิกลูกศรถัดจาก OneDrive และเลือก พีซีเครื่องนี้
2.       เรียกดูไฟล์ที่คุณต้องการย้าย แล้วปัดนิ้วลงบนไฟล์ หรือคลิกขวาที่ไฟล์เพื่อเลือก
3.       แตะหรือคลิก ตัด
4.       แตะหรือคลิกลูกศรถัดจาก พีซีเครื่องนี้ และเลือก OneDrive เพื่อเรียกดูไปยังโฟลเดอร์ใน OneDrive
5.       ปัดนิ้วจากขอบด้านบนหรือด้านล่างของหน้าจอ หรือคลิกขวาเพื่อเปิดคำสั่งของแอป แล้วแตะหรือคลิก วาง

วิธีการย้ายไฟล์ไปยัง OneDrive โดยใช้ File Explorer
เมื่อคุณย้ายไฟล์ คุณลบไฟล์ดังกล่าวออกจากพีซีของคุณ และเพิ่มไฟล์นั้นไปยัง OneDrive ลากไฟล์จากบานหน้าต่างรายการไฟล์ไปยัง OneDrive ในบานหน้าต่างด้านซ้าย

วิธีการบันทึกไฟล์ไปยัง OneDrive จากแอป
คุณสามารถบันทึกไฟล์จากแอปของคุณไปยัง OneDrive โดยตรง คุณสามารถเลือกที่จะบันทึกไปยัง OneDrive หรือไปยังตำแหน่งที่ตั้งอื่นๆ รวมถึงพีซีของคุณ แตะหรือคลิกลูกศรที่มุมซ้ายบนเพื่อเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ตั้งของคุณเป็น OneDrive (หากยังไม่ได้ถูกเลือกไว้)
จากนั้นเลือกโฟลเดอร์ใน OneDrive ที่ซึ่งคุณต้องการบันทึกไฟล์ของคุณ ป้อนชื่อสำหรับไฟล์ แล้วแตะหรือคลิก บันทึก
วิธีการบันทึกไฟล์ไปยัง OneDrive จากเดสก์ท็อปแอป
เมื่อคุณใช้เดสก์ท็อปแอป เช่น Microsoft Office Word หรือ Paint คุณจะสามารถบันทึกไฟล์ไปยัง OneDrive ได้โดยตรงเช่นกัน คลิก บันทึก ในแอปที่คุณใช้ แล้วแตะหรือคลิก OneDrive ในบานหน้าต่างด้านซ้าย
เลือกโฟลเดอร์ใน OneDrive ที่ซึ่งคุณต้องการบันทึกไฟล์ของคุณ ป้อนชื่อสำหรับไฟล์ แล้วแตะหรือคลิก บันทึก
การบันทึกไปยัง OneDrive โดยอัตโนมัติ
บนพีซีส่วนใหญ่ OneDrive เป็นตำแหน่งที่ตั้งที่แนะนำซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อคุณบันทึกไฟล์ Microsoft Office (เช่น เอกสาร Word และแผ่นงาน Excel), PDF และเอกสารอื่นๆ และหากพีซีของคุณมีกล้องแบบในตัว คุณจะสามารถบันทึกสำเนารูปภาพที่คุณถ่ายโดยตรงไปยัง OneDrive โดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณมีข้อมูลสำรองอยู่เสมอ เมื่อต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าพีซีของคุณตั้งค่าให้บันทึกโดยอัตโนมัติ ให้ตรวจสอบการตั้งค่า OneDrive ของคุณ
1.       ปัดนิ้วเข้ามาจากขอบขวาของหน้าจอ แล้วแตะ การตั้งค่า จากนั้นแตะ เปลี่ยนการตั้งค่าพีซี
(ถ้าคุณใช้เมาส์ ให้ชี้ไปที่มุมล่างขวาของหน้าจอ ย้ายตัวชี้เมาส์ขึ้น แล้วคลิก การตั้งค่า จากนั้นคลิก เปลี่ยนการตั้งค่าพีซี)
2.       สำหรับเอกสาร แตะหรือคลิก OneDrive แล้วเปิด บันทึกเอกสารไปยัง OneDrive ตามค่าเริ่มต้น
3.       สำหรับรูปถ่าย แตะหรือคลิก ม้วนฟิล์ม แล้วเลือก อัปโหลดรูปถ่ายแบบคุณภาพดี หรือสำหรับสำเนาที่มีความละเอียดสูงกว่า เลือก อัปโหลดรูปถ่ายแบบคุณภาพดีที่สุด
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของไฟล์ของคุณใน OneDrive โปรดดูที่ การรักษาความปลอดภัยให้กับไฟล์ของคุณบน OneDrive
เคล็ดลับ
คุณได้รับพื้นที่เก็บข้อมูลฟรีใน OneDrive, แต่คุณสามารถซื้อเพิ่มเติมได้หากคุณต้องการ เปิดการตั้งค่าพีซี แตะหรือคลิก OneDrive แล้วแตะหรือคลิก ซื้อที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติม
เข้าถึงแฟ้มของคุณจากทุกที่
เมื่อไฟล์ของคุณอยู่ใน OneDrive คุณจะสามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ แม้กระทั่งในกรณีที่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพีซีของคุณ คุณสามารถไปที่เว็บไซต์ OneDrive หรือคุณสามารถใช้หนึ่งใน โมบายล์แอป สำหรับ Android, iOS หรือ Windows Phone

การเข้าถึงไฟล์เมื่อคุณออฟไลน์
Windows RT 8.1 คุณสามารถเรียกดูไฟล์ทั้งหมดใน OneDrive แม้กระทั่งเมื่อคุณไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ หากคุณต้องการเปิดและแก้ไขไฟล์เมื่อคุณไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คุณจะต้องทำให้ไฟล์เหล่านั้นพร้อมใช้งานแบบออนไลน์ คุณสามารถใช้แอป OneDriveหรือ File Explorer เพื่อทำให้ไฟล์พร้อมใช้งานแบบออนไลน์
วิธีการทำให้ไฟล์พร้อมใช้งานแบบออนไลน์โดยใช้แอป OneDrive
ปัดนิ้วลงหรือคลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์เพื่อเลือก แล้วแตะหรือคลิก ทำให้เป็นแบบออฟไลน์ หากคุณกังวลเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ว่างบนพีซีของคุณมากเกินไป ให้กำหนดให้เฉพาะบางไฟล์พร้อมใช้งานแบบออฟไลน์ หรือหากมีไฟล์ที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้เมื่อคุณออฟไลน์อีกต่อไป ก็ให้เปลี่ยนกลับเป็นแบบออนไลน์เท่านั้น
หากพื้นที่ว่างบนพีซีของคุณไม่ใช่ปัญหา คุณสามารถทำให้ไฟล์ทั้งหมดของคุณใน OneDrive พร้อมใช้งานแบบออฟไลน์:
1.       ปัดนิ้วเข้ามาจากขอบขวาของหน้าจอ แล้วแตะ การตั้งค่า
(ถ้าคุณใช้เมาส์ ให้ชี้ไปที่มุมล่างขวาของหน้าจอ ย้ายตัวชี้เมาส์ขึ้น แล้วคลิก การตั้งค่า)
2.       แตะหรือคลิก ตัวเลือก แล้วเปิด เข้าถึงแฟ้มทั้งหมดแบบออฟไลน์
วิธีการทำให้ไฟล์พร้อมใช้งานแบบออนไลน์โดยใช้ File Explorer
กดค้างหรือคลิกขวาที่ไฟล์นั้น แล้วเลือก ทำให้พร้อมใช้งานขณะออฟไลน์ เมื่อต้องการทำให้ OneDrive ทั้งหมดพร้อมใช้งานแบบออฟไลน์ ให้กดค้างหรือคลิกขวาที่ OneDrive ในบานหน้าต่างด้านซ้าย แล้วเลือก ทำให้พร้อมใช้งานขณะออฟไลน์ การแบ่งปันไฟล์โดยใช้ OneDrive ง่ายกว่ามากเมื่อเทียบกับการตั้งค่าการแบ่งปันไฟล์บนเครือข่ายภายในบ้าน และเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพกว่าการส่งไฟล์ไปทางอีเมลหรือการพกพาไฟล์ติดตัวไปทุกที่บนแฟลชไดรฟ์ USB
การแบ่งปันไฟล์และโฟลเดอร์โดยใช้แอป OneDrive
1.       ปัดนิ้วลงหรือคลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์เพื่อเลือก
2.       แตะหรือคลิก แบ่งปัน
3.       เมื่อต้องการแบ่งปันกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเฉพาะ ให้เลือก เชิญบุคคล เมื่อต้องการแบ่งปันกับผู้คนจำนวนมากที่คุณอาจไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ให้เลือก รับลิงก์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแบ่งปัน โปรดดูที่ ฉันจะแบ่งปันไฟล์และโฟลเดอร์บน OneDrive ได้อย่างไร

การรองรับในอนาคตเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานอย่างหลากหลายระดับ Microsoft จึงออกแบบระบบ OneDrive for Business และ OneDrive ซึ่งมีขอแตกต่างกันดังนี้

OneDrive เป็นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลแบบออนไลน์ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่คุณจะได้รับพร้อมกับบัญชี Microsoft หรือ Outlook.com ใช้ OneDrive เพื่อบันทึกเอกสาร รูปถ่าย และไฟล์อื่นๆ ใน Cloud แชร์รายการเหล่านี้กับเพื่อน และแม้แต่ทำงานร่วมกันบนเนื้อหาก็ได้ คุณมีอิสระที่จะตัดสินใจว่าคุณต้องการใช้อย่างไร

OneDrive for Business เป็นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ซึ่งมีไว้สำหรับจุดประสงค์ด้านธุรกิจ ไลบรารี OneDrive for Business ของคุณจะได้รับการจัดการโดยองค์กรของคุณและทำให้คุณสามารถแชร์และทำงานร่วมกันบนเอกสารการทำงานกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ได้ ผู้ดูแลไซต์คอลเลกชันในองค์กรของคุณจะควบคุมว่าคุณจะทำสิ่งใดได้บ้างในไลบรารี
พอจะมองเห็นประโยชน์ของ OneDrive กันแล้ว ซึ่งเป็นการจัดเก็บไฟล์อีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง แต่เก็บไว้ในเน็ต ส่วนการเข้าไปจัดการไฟล์ ก็ต้องเข้าระบบ ล็อกอินเข้าไปก่อน อาจะไม่สะดวกเหมือนการพกพาข้อมูลไว้ในแฟลชไดรว์หรือฮาร์ดดิสก์พกพา แต่เราใช้ได้ฟรีๆ และใช้ได้ทุกที่ขอให้มีอินเตอร์เน็ต

จุดเด่นของ OneDrive

บริการ OneDrive ถูกพัฒนาโดย Microsoft ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นบริษัทที่ผลิตซอฟแวร์ได้ยอดเยี่ยมและถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเช่น ระบบปฏิบัติการ Windows บริการเก็บข้อมูลออนไลน์ OneDrive สามารถรองรับการเก็บไฟล์ข้อมูลที่ใช้บนระบบปฏิบัติการ Windows ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะไฟล์ข้อมูลเอกสาร Microsoft Office จุดเด่นของ OneDrive ในข้อนี้น่าจะทำให้ได้รับความนิยมในการใช้งานได้มากเลยทีเดียว
บรรณานุกรม
ค้นจากเวป

พีรพัฒน์ ชูจิน.  (2014).   จุดเด่นของ OneDrive. Bachelor of Science Program in Information Managementมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์: นครศรีธรรมราช

ณัฐ กิตติพงษ์.  (2014).   Microsoft, OneDrive, SkyDrive, ไมโครซอฟท์ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 http://windows.microsoft.com/th-th/onedrive/onedrive-help#onedrive=other
บรรจง อาจคำ. (2014).  ความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศเพื่อประยุกต์ใช้งานทางสัตวแพทย์ (Quantum GIS) เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2557 จาก http://www.oknation.net/blog/itpro/2014/01/28/entry-1