ธวัชชัย
วิหคเหิร
(2542 : 89 - 90) ได้ทำการวิจัยเรื่องความต้องการและการได้รับการตอบสนองความต้องการการนิเทศทางวิชาการของครูในโรงเรียนโครงการปฏิรูปการศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดฉะเชิงเทรา
ความต้องการการนิเทศทางวิชาการของครูผู้สอนในโครงการปฏิรูปการศึกษา ของสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดฉะเชิงเทราอยู่ในระดับปานกลางและได้รับการตอบสนองความต้องการนิเทศทางวิชาการของครูผู้สอนในโรงเรียน
อยู่ในระดับปานกลางซึ่งปรากฏผลดังนี้ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน พบว่าครูผู้สอน มีความต้องการการนิเทศทางวิชาการอยู่ในระดับปานกลาง
โดยเฉพาะด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นทักษะกระบวนการ และการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ด้านสื่อการสอน ต้องการการนิเทศอันดับหนึ่ง คือ การขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในห้องวิทยาศาสตร์
การเลือกนวัตกรรมทางการศึกษา ด้านการวัดผลประเมินผล พบว่า ต้องการนิเทศเรื่อง การจัดกระทาข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษา
และการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
นพวรรณ ญาณะนันท์ (2540 : 94 - 98) ได้ทาการวิจัยเรื่องการศึกษาการดาเนินการนิเทศงานวิชาการในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ของโรงเรียนในโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานพบว่า ควรดาเนินงานนิเทศงานทั้งในระดับโรงเรียน
มีปัญหาการดาเนินการนิเทศงานวิชาการระดับโรงเรียนได้แก่ เอกสารแจ้งนโยบายมีไม่เพียงพอ
ขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดาเนินการนิเทศและขาดบุคลากรที่มีความรู้
และทักษะในการปฏิบัติงาน ส่วนการดาเนินการนิเทศงานวิชาการระดับหมวดวิชาครูทุกคนในหมวดวิชาร่วมกันสารวจความต้องการจาเป็นเพื่อวางแผนการินเทศและเตรียมการแต่งตั้งบุคลากรรับผิดชอบโครงการ
รายงานผลการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้บริหารโรงเรียนให้ได้ทราบปัญหาการดาเนินการนิเทศงานวิชาการระดับหมวดวิชา
กลิ๊กแมน
และคณะ
(Glickman and others 1990 : 185-192, อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี2553
: 120-122) กล่าวถึง การนิเทศแบบพัฒนาการ (Developmental
Supervision)ว่าเป็นการนิเทศที่คำนึงถึงธรรมชาติของมนุษย์ ศักยภาพของมนุษย์
ตลอดจนความแตกต่างกันในด้าน ต่าง ๆ ของมนุษย์โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่
(Adult) มีความสามารถการคิดเชิงนามธรรม (Abstract Thinking) ความรู้สึกที่ผูกพันต่อภาระหน้าที่(Commitment) ความเชี่ยวชาญ
(Expertise) แรงจูงใจและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตามช่วงอายุ ดังนั้น ในการนิเทศการสอน
ผู้นิเทศหรือ ผู้ทำหน้าที่นิเทศจะต้องเลือกใช้วิธีการนิเทศที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ครูที่เป็นผู้ใหญ่ได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพและสามารถมีการพัฒนาถึงจุดสูงสุดโดยมุ่งเน้นครูเป็นสำคัญ
(Teacher Center) โดยการช่วยเหลือ แนะนำให้ครูสามารถการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
โดยคำนึงถึงระดับความเชี่ยวชาญหรือความสามารถทางการคิด และแรงจูงใจในการพัฒนา โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อช่วยครูให้สามารถปรับปรุงและพัฒนางาน
ในวิชาชีพของตนเองได้อย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อผู้เรียนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการนิเทศการสอนของ
วัชรา เล่าเรียนดี(2550 : 3) ที่กล่าวว่า การนิเทศการสอน เป็นกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ
เพื่อที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษา และการจัดการเรียน การสอนของครู เพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิผลในการเรียนของนักเรียน
และ ในการพัฒนาครูให้สามารถจัดกิจกรรมและกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรจะต้องอาศัยการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กระบวนการสำคัญที่ควบคู่ไปกับการบริหารคือการนิเทศ การสอน โดยต้องเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิภาพ
ไจลอล์.(Jailall. 1998
: 675-A) ศึกษาความแตกต่างของการนิเทศที่มีรูปแบบแตกต่างกันเพื่อที่จะให้คำแนะนำไปใช้ในการพัฒนารูปแบบของการนิเทศที่มีประสิทธิภาพในสหรับอเมริกาในการศึกษาครั้งนี้ใช้แบบสำรวจ
การสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์ความแตกต่างของการนิเทศการสอน ผลการศึกษาพบว่า 78%
ของกิจกรรมการนิเทศรูปแบบต่างๆ เริ่มต้นใช้ในโรงเรียนมาตั้งแต่ 1-6
ปีมาแล้ว 96% ของหัวหน้าสถานศึกษาและครูนิเทศเชื่อว่าการนิเทศที่หลากหลายจะช่วยให้ครูพัฒนาตนเองและพัฒนาการเรียนการสอนอยู่ในระดับปานกลางถึงดีมาก
79% ของผู้บิหารและครูนิเทศ เชื่อว่า การร่วมมือกันพัฒนาการนิเทศการสอนที่มีความหลากหลายก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูง
ครูที่วมกันพัฒนาเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการนิเทศ
และการนิเทศที่มีรูปแบบที่แตกต่างกันมีการนำไปใช้เพิ่มมากขึ้น
รุ่งทิวา เสาร์สิงห์ (2554 : 56) ได้ทำการสังเคราะห์เอกสาร ใน แนวคิดการพัฒนารูปแบบพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์
กระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ และช่วยพัฒนาซึ่งกันและกัน โดยใช้การติดต่อสื่อสารสนบั
สนนุ การเรียนร ู้ เป็นนิยามหนึ่งของ “พี่เลี้ยง” จุดประสงค์หลักของกระบวนการพี่เลี้ยงคือ จัดกิจกรรมสนับสนุนพัฒนาศักยภาพผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และจิตสังคมทั้งผู้รับบทบาทผู้เรียน หรือผู้รับการอุปถัมภ์และผู้รับบทบาทพี่เลี้ยง
สำหรับ “พี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์” เป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศบูรณาการกับระบบพี่เลี้ยง
โดยดำเนินกิจกรรมผ่านเครื่องมือออนไลน์ โดยไร้ข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา และยังเพิ่มกลยุทธ์ต่าง
ๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพกระบวนการพี่เลี้ยงได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีงานวิจัยด้านพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์บ้างแล้ว
แต่วิวัฒนาการเทคโนโลยีเครือข่ายได้พัฒนาไปตลอดเวลา จึงยังมีประเด็นอื่นที่ยังไม่ได้ดำเนินงาน
และควรพัฒนาให้มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น
สามารถ
ทิมนาค (2552
: 112-113) ได้ศึกษา รูปแบบการนิเทศการสอนตามแนวคิดของกลิ๊กแมน เพื่อพัฒนาสมรรถภาพการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านของครูภาษาไทย
ที่เรียกว่า “AIPDE Model” ประกอบด้วยกระบวนการดำเนินงาน
5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 การประเมินสภาพและสมรรถนะในการทำงาน
(Assessing : A)ขั้นที่ 2 การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ
(Information : I) ขั้นที่ 3 การวางแผนการนิเทศ
(Planning : P)ขั้นที่ 4 การปฏิบัติ การนิเทศ
(Doing : D) ประกอบด้วยกระบวนการนิเทศการสอน 3 ขั้นคือ 1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกตการสอน 3) การประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับหลังการสังเกตการสอน
และขั้นที่ 5 การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating : E) ผลจากการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการนิเทศการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ 6 คน พบว่า รูปแบบการนิเทศการสอนมีคุณภาพ และผลจากการตรวจสอบประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศการสอนโดยการนำไปใช้
ในโรงเรียน พบว่า ครูผู้ทำหน้าที่นิเทศมีสมรรถภาพการนิเทศการสอนหลังการใช้รูปแบบการนิเทศการสอนสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการนิเทศการสอน
ครูผู้รับการนิเทศมีสมรรถภาพการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะการอ่านหลังการใช้รูปแบบการนิเทศการสอนสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการนิเทศการสอน
นักเรียนมีทักษะการอ่านหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
0.05
ชารี มณีศรี (2538 : 29) ให้ความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษาไว้ว่าการนิเทศการศึกษา
มีความมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ครูเจริญก้าวหน้าทางวิชาชีพ ปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้นมุ่งพัฒนาคนและพัฒนางานสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
(2539 : 6) ได้สรุปถึงจุดมุ่งหมาย การนิเทศการศึกษา ไว้ดังนี้ คือ การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการทางานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ
เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้รับการนิเทศในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูในการพัฒนานักเรียนให้มีทักษะทางสังคม
วิจิตร วรุตบางกูร และคนอื่นๆ (2540 : 10) กล่าวว่า ความจำเป็นที่ต้องมีการนิเทศการศึกษาในระบบการศึกษาเนื่องจากเหตุผล
ดังนี้
1.
สภาพสังคมเปลี่ยนไปทุกขณะ การศึกษาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมด้วย
การนิเทศการศึกษาจะช่วยทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์การที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
2. ความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ
เพิ่มขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง แม้แนวคิดในเรื่องการเรียนการสอนเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา การนิเทศการศึกษาจะช่วยทาให้ครูมีความรู้ทันสมัยอยู่เสมอ
3. การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ
เพื่อให้การเรียนการสอนพัฒนาขึ้นจาเป็นต้องได้รับการชี้แนะหรือนิเทศการศึกษาจากผู้ชานาญการโดยเฉพาะ
จึงจะทาให้แก้ไขปัญหาได้สาเร็จลุล่วง
4.
การศึกษาของประเทศไม่อาจรักษามาตรฐานไว้ได้จะต้องมีการควบคุมดูแลด้วย
ความมุ่งหมายของการนิเทศนั้น
เป้าหมายหลักอยู่ที่การพัฒนาครูทั้งด้านวิชาชีพ คือ ฝึกให้มีประสบการณ์ตรง เช่น การประชุมอบรมสัมมนา
การทดลองหลักสูตรวิธีสอน และประสบการณ์โดยอ้อม เช่น การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ครูมีโอกาสพบปะทางวิชาการ
เป็นต้น นอกจากนั้นยังช่วยสร้างครูให้มีลักษณะความเป็นผู้นำ การทำงานร่วมกับผู้อื่นอันจะยังผลให้เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนดียิ่งขึ้น
กล่าวโดยย่อก็คือ มุ่งพัฒนาคนและพัฒนางาน
ธรรมสันต์
สุวรรณ์โรจน์ (2555 : 8) ได้ทำงานวิจัยการประเมินการจัดการเรียนรู้หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โดยใช้รูปแบบซิฟฟ์
โดยใช้วิจัยเชิงบรรยายเก็บรวบรมข้อมูลจากอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตร 6 คน และจากนักศึกษาผู้เรียน 160 คน พบว่า
ความคิดเห็นของอาจารย์และนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรโดยใช้รูปแบบซิฟฟ์อยู่ในระดับมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น