วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

ทฤษฏีกบกระโดด (Leapfrog Theory)

ทฤษฏีกบกระโดด  มีหลักการที่เปรียบเทียบกับพฤติกรรมการกระโดดของกบ โดยกบจะเลือกเป้าหมายที่ต้องการแล้วกระโดดไปอยู่ ณ จุดที่ต้องการ หรือบางทีก็กระโจนไปตามสัญชาตญาณแต่ก็สามารถไปอยู่ยังจุดที่ต้องการได้ เสมือนกระบวนการทำงานที่มีเป้าหมายและสามารถข้ามขั้นตอนหรือก้าวข้ามระบบต่างๆ แล้วสามารถไปถึงจุดหมายได้
โดยทฤษฎีนี้มีจุดกำเนิดที่เริ่มจากการศึกษาของ Joseph Alois Schumpeter (คศ.1883-1950) นักเศรษฐศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ชาวออสเตรีย ผู้เชื่อว่าความเจริญทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพาบทบาทของ ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) โดยสมมุติฐานที่ว่าบริษัทต่างๆที่ดำเนินธุรกิจการค้าแบบผูกขาด (Monopoly Profit) เริ่มจากบริษัทที่มาก่อน ดำเนินธุรกิจก่อน และเริ่มใช้เทคโนโลยีก่อน ซึ่งจะประกอบด้วยวิธีการ ขั้นตอน ระบบ และทักษะการทำงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งถึงจุดหนึ่งจะมีแรงจูงใจน้อยที่จะนำสิ่งใหม่ๆหรือนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาใช้ จึงเป็นโอกาสของบริษัทคู่แข่งรายใหม่ๆที่พึ่งจะเข้ามาในสนามการค้า และเมื่อเป็นเช่นนั้นในที่สุดบริษัทที่มาก่อนเหล่านั้นก็จะค่อยๆสูญเสียบทบาทในตำแหน่งผู้นำทางเทคโนโลยีไปโดยปริยาย และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวขึ้นแล้ว นวัตกรรมที่มาจากบริษัทใหม่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการ หรือเทคโนโลยีซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ และมีประโยชน์เพิ่มขึ้นจากวิธีการเดิมๆ เพราะสิ่งที่เกิดจากบริษัทคู่แข่งรายใหม่พร้อมจะยอมแบกรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นไว้ ในที่สุดนวัตกรรมเหล่านั้นก็จะกลายเป็นตัวแบบหรือกระบวนทัศน์ของเทคโนโลยีใหม่ (New Technological Paradigm) และการที่บริษัทใหม่ๆที่เข้ามาในสนามการค้าในรูปแบบเดียวกันต่อไปนี้ จะต้องกระโดดข้าม (Leapfrog) บริษัทผู้นำทางเทคโนโลยีก่อนหน้าเป็นวัฏจักรรอบต่อๆไป โดยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกำไรเพิ่มขึ้นให้กับองค์กรนั่นเอง โดยการก้าวข้ามหรือกระโดดข้ามนี้จะมองถึงระเบียบวิธีการที่ไม่เป็นไปตามระบบ ขั้นตอน และทักษะเดิมๆเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดนั้นเอง
ดังจะเห็นว่าแนวคิดกบกระโดดของ Schumpeter นี้จะเป็นตัวผลักดันให้แต่ละบริษัทได้คิดค้นนวัตกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นนวัตกรรมที่มองข้ามวิถีทางแบบเดิมๆ อันจะทำให้สังคมหรือประเทศนั้นไม่ติดอยู่กับแนวทางอันเดิม ดังเช่น การพัฒนาประเทศของเกาหลีใต้ ที่เป็นประเทศที่นิยมใช้ทฤษฎีกบกระโดดเช่น เกาหลีใต้บริหารประเทศโดยการมุ่งความสนใจในการพัฒนารถไฟฟ้ามาก ทฤษฎีกบกระโดด คือการพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวล้ำประเทศคู่แข่ง คือแทนที่วิ่งตามเทคโนโนยีของญี่ปุ่น กลับหาทางกระโดดข้ามไปซึ่งเกาหลีใต้ได้ตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาพัฒนารถไฟฟ้าให้มีเทคโนโลยีก้าวล้ำขึ้นไปอีกโดยบริษัทนี้มีเป้าหมาย ผลิตรถไฟฟ้าแบบครบวงจรตั้งแต่ออกแบบ ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ รวมทั้งขนส่งถึง มือลูกค้าโดยผลิตรถไฟฟ้า 2 ล้อ 3 ล้อและ 4 ล้อ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทำให้เกาหลีใต้สามารถพัฒนารถไฟฟ้าทันสมัยไปมากในปัจจุบัน แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว แนวคิดนี้ยังต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ต้องเข้าใจโดยทั่วถึงกันพอที่จะสามารถผลักดันแนวความคิดนี้ให้เกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อไหร่ที่แนวคิดนี้เข้าใจเฉพาะผู้นำหรือผู้มีอิทธิพลแล้ว การนำพาให้เกิดนวัตกรรมที่คนทั่วไปไม่เข้าใจนั้นก็อาจจะทำให้เกิดการต่อต้านในที่สุด
อ้างอิง

ค้นจากเวปเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2557 โดย รังสฤทธิ์ ศรีเมือง  จาก http://rangsaritster.blogspot.com/2010/09/leapfrog-theory.html#!/2010/09/leapfrog-theory.html

บทความวิชาการ: แนวคิดในการพัฒนาพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์

ตามเจตนารมณ์ของพราะราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ในมาตราที่เป็นหัวใจหลักสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ คือ หมวดที่ 7 ว่าด้วยครู คณาจารย์และบุคลากรด้านการศึกษา มาตรา 52 ให้กระทรวงศึกษาธิการ ส่งเสริมให้มีระบบกระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกำกับและประสานให้สถาบันที่ทำหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนาบุคลากรประจำการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการส่งเสริมระบบให้ครูได้ใช้องค์ความรู้ ทักษะกระบวนการและประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทั้งด้านความรู้และจริยธรรม และพรบ.ฉบับเดียวกันนี้ ในหมวดที่ 4 แนวทางที่ว่าด้วยการจัดการศึกษามาตรา 24 กล่าวไว้ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ในหลายประเด็น แต่ประเด็นที่สถานศึกษาต้องดูแลกำกับอย่างใกล้ชิดในชั้นเรียน โดยเฉพาะทางผู้เขียนเล็งเห็นถึง (5) ว่าด้วย การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ(คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ 2553:7-8) ทั้งนี้การเรียนรู้ในชั้นเรียนโดยเฉพาะห้องเรียนในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เป็นกลุ่มสาระหลัก ซึ่งในการสร้างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551: 94) การเรียนการสอนจะเน้นกระบวนการที่นักเรียนเป็นผู้คิดลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมหลากหลาย ให้นักเรียนต้องเรียนและกำหนดให้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้และค้นพบตนเองมากที่สุด และนักเรียนจะต้องมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน (ทองเพชร เกริกชัย: 2555)
ซึ่งการจัดการศึกษาของไทยหลังจากที่ใช้ พรบ.ฉบับนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ โดย Mr.Tom Corcoran ได้กล่าวในวารสารวิชาการของ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน;สสค.(2557) ถึงสถานการณ์การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กไทย โดยหยิบยกคะแนน PISA วิชาวิทยาศาสตร์อยู่ในลำดับที่ 49 จากทั้งหมด 64 ประเทศ โดยคะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 425 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานนานาชาติ (OECD) กว่า 100 คะแนน ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าการที่จะได้ 100 คะแนน ต้องใช้เวลาเรียนถึง 2 ปี ดังนั้น จึงถือว่าการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยล้าหลังกว่ากว่านานาชาติถึง 2 ปี โดยคะแนนเฉลี่ยของไทยในปี 2009 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยในปี 2006 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น นอกจากนี้ สังคมไทยยังมีหัวกะทิทางวิทยาศาสตร์อยู่น้อย ดังจะเห็นได้จากเด็กไทยที่ทำคะแนนได้ดี (เกรด 5-6) ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของการเข้าทำงานสายวิทยาศาสตร์มีเพียง 1.3% และ 0.6% ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตามลำดับ หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของนานาชาติ(OECD) มีเด็กกลุ่มนี้จำนวน 10% ขณะที่เซี่ยงไฮ้ ญี่ปุ่น เกาหลี มีเด็กกลุ่มนี้สูงถึง 20% จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีเด็กที่ประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ไทยได้ลงทุนไปในระบบการศึกษา ซึ่งมากกว่าประเทศที่ทำคะแนนสูงกว่าไทย ทั้งนี้บทความที่ระบุในการประชุมวิชาการ ได้ระบุสภาพปัญหาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไทยดังนี้
1)      ครูต้องไม่สอนให้เด็กท่องจำเนื้อหาเป็นหลัก แต่เน้นความเข้าใจในเนื้อหาและสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็ก
2)      เวลาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ โดยเด็กไทยใช้เวลาเรียนวิทยาศาสตร์เพียง 150 นาที/สัปดาห์ ขณะที่นานาประเทศ(OECD)ใช้เวลาเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ 250 นาที/สัปดาห์ เช่น การสอนเรื่องความหนาแน่นสัมพัทธ์ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องมวลและปริมาตร การสอนของไทยใช้เวลาเรียนเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ขณะที่ประเทศอื่นๆใช้เวลาเรียนถึง 5 บทเรียน
3)      หลักสูตรวิทยาศาสตร์ของไทยพยายามใส่เนื้อหาและสาระวิชามากเกินไป จนทำให้เด็กไทยไม่มีโอกาสความเข้าใจเชิงลึกในเนื้อหา เช่นในฮ่องกง ซึ่งมีผลการสอบ TIMSS วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับสูง พบว่าเนื้อหาการสอนครอบคลุมหัวข้อการสอบของ TIMSS เพียง 60 % แต่สอนอย่างลงลึก ทำให้เด็กเข้าใจในแก่นแท้ของเนื้อหา ขณะที่อเมริกา ซึ่งมีการสอนอย่างอย่างครอบคลุมเนื้อหา 100% แต่มีผลคะแนนที่ต่ำกว่าฮ่องกง
4)      ครูขาดการสร้างแรงจูงใจแก่นักเรียน โดยพบว่า สภาพชั้นเรียนส่วนใหญ่ครูจะยืนบอกให้เด็กจดหน้าชั้นเรียน หรือเดินตามสูตรสำเร็จที่หนังสือให้ไว้ ทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ซึ่งการสร้างแรงจูงใจต่อการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนที่เดินเข้าห้องเรียนแล้วอยากที่จะเรียน แต่เป็นหน้าที่ของครูทุกคนที่จะสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากที่จะเรียน
5)      การสอบมุ่งใช้ความจำเป็นหลัก โดยวัดผลที่ข้อเท็จจริงของเนื้อหามากกว่าสาระสำคัญหลักของเรื่อง ทำให้ครูก็ต้องสอนแบบนั้น เช่น ในจังหวัดพังงา เมื่อนำเครื่องมือช่วยสอนให้แก่ครู พบว่า มีครูบางส่วนปฏิเสธเพราะเกรงว่าจะสอนเนื้อหาไม่ทัน

ซึ่งถ้าพิจารณาจากทั้ง 5 ข้อนี้ ทุกข้อล้วนเกิดจากคุณครูที่ต้องบริหารการจัดการเรียนการสอน ดังนั้นจากสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติได้กล่าวมา เป็นการตอกย้ำว่าการช่วยเหลือและสนับสนุนครูผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ยังถือเป็นการดำเนินงานหลักในการเดินหน้าเพื่อการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ศิราภรณ์ เทวะผลิน (2548) ได้ศึกษาผลของการนิเทศการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า พฤติกรรมครูส่วนใหญ่แล้วจะยึดติดกับการเรียนการสอนแบบเดิมๆ คือเน้นการบรรยายในชั้นเรียน อันมีสาเหตุมาจากความเข้าใจพื้นฐานของครูที่ว่า ครูอาจจะมีหน้าที่สอนหนังสือให้จบเล่ม ครูจึงเน้นเนื้อหาและไม่เข้าใจกระบวนการพัฒนาต่างๆ จึงทำให้ครูมองไม่เห็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถของผู้เรียน แต่ถ้าครูมีเพื่อนคู่คิด โดยใช้การนิเทศการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนแล้วนั้นจะทำให้การสอนของครูมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถึงตอนนี้ผู้ศึกษาได้เห็นความสำคัญ ว่าต้องมีวิธีการใดบ้างที่จะสามารถช่วยคุณครูสามารถจัดการชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น จึงได้ศึกษาและพบงานวิจัยของสุภาภรณ์ กิตติรัชดานนทและคณะ 2551 ได้มองถึงการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการที่ช่วยกระตุ้น เร่งเร้า ให้ครูมีความตื่นตัวที่จะปรับปรุงการเรียนการสอนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนิเทศจากภายนอกหรือการนิเทศภายใน ก็ตาม เพราะการนิเทศการสอนมีจุดมุ่งหมาย เพื่อช่วยเหลือครู พัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การนิเทศการสอนช่วยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา กระบวนการเรียนการสอนจะถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าและทันสมัยอยู่เสมอจากการศึกษาสภาพการนิเทศการสอน พบว่ามีปัญหาอยู่ค่อนข้างมาก เช่น ขาดแคลนอัตรากำลัง ศึกษานิเทศก์ขาดความรู้ ความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ ในการนิเทศการสอนขาดเครื่องมือในการปฏิบัติงาน ขาดการประสานงาน ขาดงบประมาณ ขาดยานพาหนะ มีภาระมากทำให้ไม่มีเวลานิเทศ ขาดการนิเทศอย่างต่อเนื่อง ขาดแรงจูงใจและสนับสนุน ขาดการประเมินผลการปฏิบัติงาน
จากที่กล่าวมาข้างต้นผู้ศึกษานี้สนใจที่อยากจะพัฒนาระบบการช่วยเหลือการเรียนการสอนครู อาศัยแนวคิดที่ว่าการที่ครูจะมีความสามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีจะต้องได้รับการพัฒนา ช่วยเหลือและได้รับการชี้แนะแนวทางให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนและสิ่งที่จะช่วยเหลือให้ครูสามารถพัฒนาคุณภาพการสอนได้ คือ การพัฒนารูปแบบการนิเทศการสอน แต่คำว่า นิเทศการสอนโดยส่วนใหญ่แล้วความหมายจะออกมาในเชิงการประเมิน หรือการวัดระดับการสอนมากกว่าการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้กับครูผู้สอน ดังนั้น ระบบครูพี่เลี้ยงทางวิชาการจะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ในวิชาชีพระหว่างเพื่อนครูด้วยกันโดยเฉพาะครูวิทยาศาสตร์ที่เปิดรับข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้การดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยโครงสร้างของความร่วมมือและกฎกติกามารยาทจะช่วยให้เกิดวัฒนธรรมของการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งกระบวนการพี่เลี้ยง (Mentoring) เป็นรูปแบบกิจกรรมอย่างหนึ่งที่นำมาใช้พัฒนาศักยภาพบุคคล ซึ่งพัฒนาทั้งผู้ได้รับการอุปถัมภ์ (Mentee) และผู้ที่เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน โดยใช้การติดต่อสื่อสารแบบสองทางหรือใช้ในความหมาย เป็นกระบวนการสนับสนุน พัฒนาบุคคลด้วยการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างบุคคล ด้วยการใช้วิธีการสื่อสาร เพื่อแลกเปลี่ยนสาระความรู้ ความคิด ผ่านทางกิจกรรมที่มีการปฏิสัมพันธ์กันหรือ เป็นกระบวนการเพื่อจัดเตรียมและกำหนดบทบาทให้ผู้มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ มีหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำ แก่ผู้มีประสบการณ์น้อยกว่า เพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ จากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่ง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบพี่เลี้ยงจึงมี 2 กลุ่มหลัก คือ บุคคล ที่มีบทบาทเป็นพี่เลี้ยง เรียกว่า Mentor และบุคคลที่มีบทบาทเป็นผู้เรียนหรือผู้รับการอุปถัมภ์ เรียกว่า Mentee สำหรับแนวคิดการให้ความช่วยเหลือกันด้วยกระบวนการพี่เลี้ยงนี้ ซึ่งแนวคิดหลักและความจริงในการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นพี่เลี้ยงวิชาการ คือ เป็นระบบเพื่อพัฒนาสมรรถนะในด้านการเรียนรู้ ที่ช่วยครูด้านการสอนและสังเกตพฤติกรรมนักเรียนว่าเกิดการเรียนรู้ในระหว่างการสอน ทั้งความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องอย่างลึกซึ้งและมีกรอบแนวคิดหลักที่แน่นซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของความเชี่ยวชาญคือการรอบรู้ในแนวความคิดหลัก ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจข้อมูลอย่างถ่องแท้ แนวความคิดหลักนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนเปลี่ยนทัศนคติการสอนเป็นความท้าทาย จากการเรียนรู้จากสิ่งเดิมไปเป็นปัญหาใหม่ๆการช่วยเหลือลักษณะดังกล่าวนี้มีนัยที่ชัดเจนว่าจะช่วยอะไร จะสนับสนุนอย่างไร และรวมจนถึงการช่วยครูผู้สอนเตรียมการสอนเท่าที่จำเป็น ได้อย่างชัดเจน และเมื่อได้ร่วมกันทำระหว่างองค์กรที่สนับสนุนการศึกษา โดยมีระบบการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา การติดตามการสอนก็จะไม่ใช่เรื่องที่เพิ่มภาระงานให้กับครูผู้สอนอีกต่อไป ทั้งนี้การดำเนินการต้องเป็นการสื่อสารสองทาง เกิดความต่อเนื่องและมีความใกล้ชิดกันมากเท่าที่ควรซึ่งแนวทางของพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์นี่เองที่สามารถดำเนินการได้ตามดังกล่าว
โดยในยุคปัจจุบันที่การสื่อสารต่างก็ตกอยู่ในท่ามกลาง การแวดล้อมของ ICT อาจจะต้องหาแนวทาง วิธีการ วัสดุ อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆที่ส่งเสริมให้การช่วยเหลือและสนับสนุนมีความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและคุ้มประโยชน์ บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการนิเทศผ่านระบบไอซีที อย่างหลากหลาย ที่สามารถส่งเสริมประสิทธิภาพ ของการเป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการได้เป็นอย่างดี
นักการศึกษาได้แบ่งรูปแบบการนิเทศการสอน หรือในที่นี้จะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนในรูปแบบการเป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการ ตามลักษณะของปรัชญา และลักษณะของผู้นิเทศ แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้
1. การนิเทศแบบตรวจตรา (Inspection Supervision) เป็นการนิเทศแบบดั้งเดิม ผู้นิเทศทำหน้าที่ตรวจสอบ เช่น การเป็นไปตามหลักสูตรหรือไม่ วิธีสอนเหมาะสมหรือไม่ เมื่อตรวจแล้วชี้แจงให้ครูแก้ไขข้อบกพร่อง
2. การนิเทศแบบให้ผลผลิต (Supervision as Production) บางครั้งเรียกว่าการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งมองที่ผลผลิต โดยเปรียบสถานศึกษาเป็นแหล่งผลิต ครูเป็นพนักงาน และนักเรียนเป็นผลผลิต และผู้นิเทศ ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพ วิจัยและพัฒนา เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพ
3. การนิเทศเพื่อพัฒนา (Developmental Supervision) เป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ตามความสามารถที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล เช่น ผู้นิเทศจะชี้นำเมื่อครูมีความรู้ ความสามารถต่ำ ครูขาดประสบการณ์ แต่เมื่อครูมีความสามารถสูงเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้
4. การนิเทศแบบคลีนิค (Clinical Supervision) การนิเทศแบบนี้ จะได้ข้อมูลโดยตรงจากการสังเกต การสอนในห้องเรียนจริง เป็นการร่วมมือกันระหว่างครูกับผู้นิเทศ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการสอน เพื่อนำไปปรับปรุงการเรียนการสอน
ตามแนวคิดในการพัฒนาพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์ การช่วยเหลือและสนับสนุนการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ควรมีกระบวนการที่ต่อเนื่อง มีการเคลื่อไหวที่เป็นพลวัตร (Dynamic) นั่นก็คือการนำวงจรคุณภาพ (Quality Loop) หรือวิธีระบบ (System Approach) มาใช้ในการดำเนินงาน จุดประสงค์หลักของกระบวนการพี่เลี้ยง คือ จัดกิจกรรมสนับสนุนพัฒนาศักยภาพผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และจิตสังคมทั้งผู้รับบทบาทผู้เรียน หรือผู้รับการอุปถัมภ์และผู้รับบทบาทพี่เลี้ยง สำหรับพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์เป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศบูรณาการกับระบบพี่เลี้ยง โดยดำเนินกิจกรรมผ่านเครื่องมือออนไลน์ โดยไร้ข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา และยังเพิ่มกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพกระบวนการพี่เลี้ยงได้อีกด้วย โดยแบ่งเป็นแต่ละขั้น ดังนี้
1.      การวิเคราะห์
ขั้นการวิเคราะห์ เป็นขั้นตอนการทำงานขั้นแรกที่ผู้นิเทศควรให้ความสำคัญ เพราะการนิเทศ จะประสบความสำเร็จ มีประสิทธิภาพสูง ควรต้องมีผลการวิเคราะห์ในหัวข้อที่สำคัญๆ ดังนี้
1.1 การวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น
การวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น ควรใช้เทคนิคและวิธีการหลายอย่าง เพื่อให้ได้ข้อมูล ที่ครอบคลุม เช่น การนิเทศและตรวจเยี่ยม การสัมภาษณ์ผู้บริหาร และครูผู้สอน การส่งแบบสำรวจความต้องการ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ผล จะทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการจำเป็น ในการพัฒนา การเรียนการสอน ที่หลากหลายและครอบคลุม เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบ กิจกรรมการนิเทศ ที่ตรงกับความ ต้องการ ของโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย
1.2 การวิเคราะห์เนื้อหาและภารกิจ
เมื่อได้ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการ ความจำเป็นแล้ว ผู้นิเทศ จะดำเนินการกำหนดหลักสูตร กิจกรรม ตามลำดับความต้องการ แล้วกำหนดเนื้อหาในการนิเทศการศึกษา การจัดโครงสร้างและลำดับการนำเสนอ ให้ง่ายต่อการสร้างความรู้ความเข้าใจ ผู้รับการนิเทศได้รับความสะดวก มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการ ปฏิบัติงาน มีความพึงพอใจในการนิเทศ สามารถชักจูงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นได้
1.3 การวิเคราะห์ผู้รับการนิเทศ
ผู้นิเทศควรทำความรู้จัก กับผู้ีรับการนิเทศในทุกมิติ เช่น เพศ วัย วุฒิการศึกษา ประวัติการรับราชการ นิสัยใจคอ ความสนใจ ความถนัด เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้สามารถวางแผนการนิเทศ การเลือกวิธีการ สื่อ รวมทั้ง เทคนิคการนิเทศที่เหมาะสมได้ ซึ่งก็คือ หลักการนิเทศ ที่ยึดผู้รับการนิเทศเป็นศูนย์กลางในการนิเทศ นั่นเอง
1.4 การวิเคราะห์สภาพการณ์และนโยบาย
การนิเทศการศึกษา ไม่เพียงสนองความต้องการจำเป็นของโรงเรียน ผู้บริหาร และครู เท่านั้น แต่ในบางกรณี ก็เป็นการนิเทศตามนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักสูตร วิธีการจัดการเรียนรู้ การบริหารจัดการที่สนองกลยุทธ์ของฝ่ายนโยบาย เป็นต้น ดังนั้นการวิเคราะห์สภาพการณ์และนโยบาย จึงเป็นภาระงานที่จำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


2.      การออกแบบและพัฒนา
เมื่อมีการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น วิเคราะห์ผู้รับการนิเทศ เนื้อหา ภารกิจ และสภาพการณ์ต่างๆ อย่างครอบคลุมแล้ว จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ ในการออกแบบและพัฒนา ในหัวข้อ ต่าง ๆ ดังนี้
2.1 การออกแบบวัตถุประสงค์ของการนิเทศ
การกำหนดวัตถุประสงค์ เป็นเสมือนเข็มทิศในการนิเทศการศึกษา ผู้นิเทศควรให้ความสำคัญ อยู่เสมอ โดยกำหนดจุดวัตถุประสงค์ ทั้งในลักษณะกว้างๆ (Goals) และวัตถุประสงค์ ที่มีลักษณะเฉพาะ หรือเชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) มีความครอบคลุมทั้งด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย ทำให้การนิเทศการศึกษามีความชัดเจนและครอบคลุม
2.2 การออกแบบวิธีการและกิจกรรมการนิเทศ
เมื่อผู้นิเทศ ได้มีการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็จะเป็นขั้นตอนของการดำเนินการ กำหนดวิธีการนิเทศ ได้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ ในเบื้องต้น เช่น กรณีของการนิเทศออนไลน์ ของศึกษานิเทศก์ กลุ่มนิเทศฯ สพท. นครราชสีมา เขต 1 อาจจะเลือกแนวการนิเทศ ดังนี้
2.2.1 การนิเทศทางไกลผ่านเว็บไซต์ http://www.edkorat1.info/sup โดยการใช้ช่องทางกระดานถาม-ตอบ (Web Board) และห้องสนทนา (Chat Room)
2.2.2 การนิเทศและให้คำแนะนำปรึกษา ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
2.2.3 การนิเทศทางไกลด้วยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( e-mail)
2.2.4 การนิเทศทางไกลด้วยเทคโนโลยีเว็บบล็อก (Web Blog)
2.2.5 การจัดส่งแผ่นซีดีรอมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)
2.2.6 การนิเทศทางไกลผ่านสังคมเครือข่าย Facebook twitter Chat
2.2.7 การช่วยเหลือและสนับสนุนผ่านช่องทางสื่อสารเฉพาะ เช่น ทาง Office 365  ที่ได้รวมแอปเฉพาะ
3. ขั้นการนิเทศ
3.1 การเตรียมการและประสานงานการนิเทศ
เมื่อผู้นิเทศได้มีการวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น วิเคราะห์ผู้รับการนิเทศ เนื้อหา ภารกิจ สภาพการณ์ต่างๆ มีการสร้างและพัฒนาสื่อและกิจกรรมการนิเทศแล้ว ควรมีการเตรียมการ ประสานงาน และนิเทศการศึกษา ดังนี้
3.1.1 การจัดทำตารางและกำหนดการนิเทศ ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
3.1.2 ประสานงานกับคณะนิเทศ เพื่อให้มีการบูรณาการการนิเทศ ให้ครอบคลุมภารกิจ และกลยุทธ์ต่างๆ รวมทั้งการบูรณาการการนิเทศ ตามความจำเป็น
3.1.3 ประสานงานไปยังโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนัดหมายเกี่ยวกับวัน เวลา ตารางการนิเทศ รวมทั้งการเตรียมข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่างๆ


3.2 การปฏิบัติการนิเทศ
เป็นขั้นตอนที่ผู้นิเทศ ลงมือดำเนินการนิเทศ ซึ่งควรใช้หลักการนิเทศที่สำคัญๆ เช่น การมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีต่อกัน การทำงานเป็นทีม มีการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมผลสำเร็จ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ผู้รับการนิเทศทุกคน สามารถพัฒนาให้บรรลุผลตามศักยภาพได้ ให้ความสำคัญในการพัฒนา การจัดการเรียนการสอน ตามแนวทางการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ ที่เน้นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญปัญหาและการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะ ในการป้องกันและการแก้ไข ปัญหาให้ผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกให้คิดเป็น ทำเป็น รักการแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียนอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างสมดุล ผู้สอน สามารถจัดบรรยากาศ สภาพ แวดล้อม สื่อการเรียนการสอน การอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียน มีการใช้ กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ เป็นต้น

4. ขั้นการประเมินผลและรายงาน
การดำเนินกิจกรรมการนิเทศต่างๆ ควรได้มีการประเมินที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม ทั้งก่อนการดำเนินกิจกรรม ระหว่างดำเนินกิจกรรม และหลังการดำเนินกิจกรรม ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์หลายประการ กล่าวคือ การประเมินก่อนการดำเนินกิจกรรม จะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้รับการนิเทศ เกี่ยวกับความสนใจ ความรู้พื้นฐาน การประเมินระหว่างดำเนินกิจกรรมจะทำให้ทราบข้อมูล เกี่ยวกับพัฒนาการของผู้รับการนิเทศ ส่วนการประเมินหลังการดำเนินกิจกรรม จะทำให้ทราบถึง ผลสัมฤทธิ์ ของการดำเนินงาน มีการเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือในการประเมินผล ที่ครอบคลุมวัตถุประสงค์ เมื่อการประเมินผลสิ้นสุดลง ควรได้มีการสรุปและรายงานผลให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบ โดยอาจจัดทำเป็นรายงาน อย่างง่าย แล้วรวบรวมไว้ใน เอกสารการนิเทศที่เพื่อให้เห็นเส้นพัฒนาของการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม

5. ขั้นปรับปรุงและพัฒนา
เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้นิเทศควรดำเนินการอยู่เสมอ ในทุกขั้นตอนการนิเทศ เพราะในปรับปรุงและพัฒนา การปฏิบัติงานนั้น ต้องมีการปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีการประเมินผลการดำเนินการทุกครั้ง จะได้ข้อมูลสำคัญที่ผู้รับการนิเทศ ผู้นิเทศ บุคลากร หน่วยงาน องค์กรผู้รับผิดชอบ จะนำไปประกอบการปรับปรุง แก้ไข หรือพัฒนาให้การทำงานเป็นไปอย่างสอดคล้อง เหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ และมีการผลดำเนินงานที่เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด การปรับปรุงและพัฒนาได้ดำเนินการในทุกขั้นตอนของการนิเทศ เช่น การปรับปรุงวิธีการและ เครื่องมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ มีประโยชน์ในการดำเนินการนิเทศการศึกษา อย่างสูงสุด การปรับปรุงในขั้นตอนการออกแบบและพัฒนา เพื่อให้วัตถุประสงค์ของการนิเทศมีความครอบคลุม สอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของครูและโรงเรียน รวมทั้งการปรับปรุงพัฒนาชุดฝึกอบรม ให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เลือกวิธีการนิเทศที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับการนิเทศ บริบท เนื้อหาสาระ งบประมาณ รวมทั้งการปรับปรุงแผนการนิเทศให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับปรุงพัฒนาวิธีการประเมิน ผลการนิเทศ ให้ได้เครื่องมือที่มีคุณภาพตามหลักวิชาการ ซึ่งจะส่งผลถึงข้อมูลที่ได้จากการประเมิน มีความถูกต้องตามความเป็นจริง
โดยแนวคิดการพัฒนารูปแบบของพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์ โดย รุ่งทิวา เสาร์สิงห์ (2552) นักศึกษาปริญญาโท คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้วางรูปแบบดังภาพ
    
ภาพที่ 1: รูปแบบพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์                 ภาพที่ 2: แนวทางโครงสร้างสัมพันธภาพระบ                                                                                           พี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์
แนวคิดการพัฒนารูปแบบของพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์ โดย Long life learning Program
1)      E-Mentoring Processes คือ กระบวนการหรือขั้นตอนของระบบการติดตาม ช่วยเหลือและสนับสนุนการสอน เป็นพื้นที่ในการเข้าถึงข้อมูลระหว่างกันและกัน และรับทราบข่าวสารว่า ผลของการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง
2)      3M Actor คือ ส่วนในการทำงานร่วมกัน ระหว่าง Managers คือผู้ดูแลระบบ Mentors คือผู้ให้คำปรึกษา มีความเชี่ยวชาญด้านการสอน และ Mentees คือครูผู้สอนที่เปิดใจรับพัฒนาการสอนจากทางโปรแกรม
3)      Social Network คือ ระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่าง 3M และต้องสามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันได้ ดังรูปภาพต่อไปนี้
      

                 ภาพที่ 3: e-mentoring on 3M actors ที่มา: http://www.e-mentoring.eu/?
พี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์ เชื่อว่าจะแสดงรายงานผลความพึงพอใจจากผู้เกี่ยวข้องในเชิงบวกประโยชน์ที่ได้รับนั้นเป็นวงกว้าง แตกต่างจากวิธีการถ่ายทอดความรู้วิธีอื่นเพราะนอกจากจะให้ประโยชน์ต่อผู้เรียน หรือผู้รับการอุปถัมภ์ด้านผลสัมฤทธิ์ความรู้ ทักษะ และจิตสังคมที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผู้รับบทบาทเป็นพี่เลี้ยง ยังได้รับประโยชน์ด้วย ทั้งรูปแบบรางวัลภายนอก (Extrinsic reward) เช่น การได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถตนเอง รูปแบบรางวัลภายใน (Intrinsic reward) เช่น ความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนสอดคล้องกับ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม กล่าวว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ร่วมกัน เครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การสอนคนอื่น หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั่นเองแม้แต่องค์กรที่นำกระบวนการพี่เลี้ยงไปใช้งาน ยังได้รับประโยชน์ด้านการมีสังคมการทำงานในองค์กรที่มีการแลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้ผ่านสัมพันธภาพอันดีการที่นวัตกรรมเทคโนโลยีเครือข่ายมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมส่งผลต่อความจำเป็นในการที่จะต้องศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบพี่เลี้ยงอิเล็กทรอนิกส์ ในทิศทางและกลยุทธ์แบบใหม่ให้สามารถนำไปใช้สนับสนุนการเรียนการสอนแบบปกติ เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนได้อย่างแท้จริง
ผู้ศึกษาเห็นว่า การพัฒนาระบบช่วยเหลือและสนับสนุนครูผู้สอน ผ่านสังคมเครือข่าย e-Mentoring สำหรับครูผู้สอน ด้วยเห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับการพัฒนาการศึกษา และมีคุณค่ากับหน่วยงานภายนอกที่จะมาร่วมพัฒนาการศึกษา ดังนี้
1.       เพิ่มประสิทธิภาพในระบบการติดตาม ช่วยเหลือ และสนับสนุน ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิผล โดยอาศัยความร่วมมือจากครูพี่เลี้ยง หน่วยงานที่สนับสนุนการศึกษา และครูผู้สอน ผ่านระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์
2.       ครูผู้สอน มีความตระหนักและตื่นตัวต่อการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพราะด้วยระบบ E-Mentoring จะมีบทบาทเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับครู
3.       สามารถพัฒนาตัวเองจากแหล่งเรียนรู้ด้านกระบวนการสอนที่ระบบป้อนให้ที่ละเล็กทีละน้อย
4.       การลงมือปฏิบัติการสอนของครู มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น เพราะได้ทำการเตรียมการเป็นอย่างดี
5.       การสะท้อนผลโดยครูพี่เลี้ยงทางวิชาการ จะทำให้ครูมีกำลังใจในการสอนมากยิ่งขึ้น และเห็นว่าการติดตามการเรียนการสอนนั้น ไม่ใช่เรื่องเพิ่มภาระงานให้ครูแต่อย่างใด

บรรณุกรม
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช (2544). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2546

วิชาญ พันธุ์ประเสริฐ. (2551). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูวิทยาศาสตร์เพื่อออกแบบบท
ปฏิบัติการที่สอดแทรกภูมิปัญญาท้องถิ่น. ปริญญานิพนธ์ กศ..(วิทยาศาสตรศึกษา).
กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม:
รองศาสตราจารย์ สมจิต สวธนไพบูลย์ , ว่าที่ร้อยตรี ดร. มนัส บุญประกอบ , อาจารย์ดร. ราชันย์ บุญธิมา

วราภรณ์ แสงพลสิทธิ์ (2554).  ความต้องการการนิเทศการสอนของครูเครือข่ายโรงเรียนอัสสัมชัญ.งานการเรียนการสอน โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม: บทคัดย่อ

ประสพศรี สุวรรณวงศ์.(2539). ลักษณะการกำหนดหน้าที่การงานให้ครูในโรงเรียนมัธยมรัฐบาล.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาลัย.บทคัดย่อ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553) ราชกิจจานุเบกษา
หน้า 7-8
รุ่งทิวา เสาร์สิงห์ (2552) แนวคิดการพัฒนารูปแบบพี่เลี้ยงอิเล็คทรอนิกส์. วิจัยปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.บทนำ
ศิราภรณ์ เทวะผลิน (2548). การศึกษาผลการสอนผลของการนิเทศการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์.วิจัยปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขามัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ: บทคัดย่อ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2556). กรณีศึกษา โครงการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ UPGRADE Casebook.พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพ: สถาบันคีนันแห่งเอเซีย
สุภาภรณ์กิตติรัชดานนทและคณะ (2551). การพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.บทคัดย่อ
สุมนฉัตร์ สีมาคูณ เปรมจิตร บุญสาย และอุษา คงทอง (2553).การศึกษาปัญหาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 ของครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. หน้า 10-11

สายใจ ประยูรสุข (2551). ความต้องการการนิเทศการสอนของครูผู้สอน.การค้นคว้าอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร: บทคัดย่อ

สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน; สสค. (2557). เอกสารประกอบการบรรยายเพื่อยกระดับการสอนวิทยาศาสตร์ไทย.กิจกรรมบรรยายพิเศษครูวิทยาศาสตร์ไทย

สถาบันคีนันแห่งเอเซีย (2553). เอกสารประกอบการดำเนินการโปรแกรมครูพี่เลี้ยงทางวิชาการ.โครงการพัฒนาการสอนวิทยาศาสตร์ จังหวัดพังงา MSD IN-STEP: หน้า 5-6


ค้นจากเวป

Lifelong learning Program 2013: ค้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 จาก http://www.e-mentoring.eu/?

ทฤษฎีนวัตกรรมแนวเครือข่ายเทคโนโลยี (the technology network theory of innovation)

การพัฒนาแนวความคิดเรื่องนวัตกรรมภายใต้ชื่อ ระบบสังคมทฤษฎีนี้ อธิบายว่า องค์กร กลุ่ม หรือสถาบันฯ มีบทบาทในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ควรจะมีการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความเข้มแข็งเกิดจากการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสถาบันภายนอก มีการถ่ายทอดข้อมูลทางนวัตกรรม มีการเชื่อมโยงทางเทคนิค เชื่อมโยงทางการตลาดและเครือข่ายข้อมูลนวัตกรรม นวัตกรรมเกิดจากการผสมผสานระหว่างทุนที่จับต้องได้กับทุนที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งช่วยให้องค์กรมีขีดความสามารถในการดูดซับข้อมูลทางนวัตกรรมให้เพิ่มสูงขึ้น ทฤษฎีนี้มีชื่อว่า“ทฤษฎีนวัตกรรมแนวเครือข่ายเทคโนโลยี (the technology network theory of innovation)”แนวคิดดังกล่าวนี้ถูกรวบรวมโดย Bruce Lundvall ในปลายทศวรรษ ช่วงระหว่าง คศ.1980 – 1990 ซึ่งในทศวรรษที่ 1990 นักวิชาการกลุ่มนี้ได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่ขึ้นมา ทฤษฎีนี้อาจเรียกว่า ระบบของนวัตกรรม (systems of innovation) เพื่อใช้อธิบายการเชื่อมโยงทางเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม นักวิชาการกลุ่มนี้ตั้งสมมติฐานว่า องค์กรนวัตกรรมจะเชื่อมโยงเข้ากับหน่วยงานต่างๆ หลากหลายผ่านเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะต่างๆ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของที่มาของข้อมูลดังกล่าวว่ามาจากภายนอกองค์กร คือมาจากลูกค้า ซัพพลายเออร์ ที่ปรึกษา ห้องปฏิบัติการ หน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย ฯลฯ ผู้ศึกษาจะจะแยกคำออกเป็น 2 ส่วน คือ คำว่าเครือข่าย (Network) และคำว่าเทคโนโลยี (technology)
เครือข่าย (Network) ถ้าเราพิจารณาจะสามารถแบ่งออกเป็น ตาข่าย (Net) ที่โยงใยถึงกันและพร้อมที่จะ “Work” เมื่อต้องการใช้งาน เครือข่าย คือ การเชื่อมโยงร้อยรัดเอาความพยายามและการดำเนินงานของฝ่ายต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกันโดยที่แต่ละฝ่ายยังคงปฏิบัติภารกิจหลักของตนต่อไปอย่างไม่สูญเสียเอกลักษณ์ และปรัชญาของตนเอง การเชื่อมโยงนี้อาจเป็นรูปของการรวมตัวกันแบบหลวมๆ เฉพาะกิจตามความจำเป็น หรืออาจอยู่ในรูปของการจัดองค์กรที่เป็นโครงสร้างของความสัพมันธ์กันอย่างชัดเจน ซึ่ง รศ.ดร.ประดิษฐ์ เถลิงรังสฤษดิ์ (2553) ได้สรุปไว้คือ
- การเชื่อมโยง (Connection)
- ความร่วมมือ (Cooperation)
- การติดต่อสื่อสาร (Communication)
- การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Lend a hand)
- การสานสร้างสัมพันธ์ (Relationship)
- การเสริมความเข้มแข็ง (Empowerment or Enrichment)
กิจกรรมสำคัญที่สุดที่เครือข่ายทุกเครือข่ายทำร่วมกัน คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารประสบการณ์ แล้วพัฒนาไปสู่การวางแผนร่วมกัน ดำเนินกิจกรรมบางอย่างรวมกัน  ทำให้ด้านหนึ่งหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน อีกด้านหนึ่งทำให้กิจกรรมนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็นการประสานพลัง (synergy)  เป็นการใช้ทรัพยากร ใช้พลังงาน อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ  โดยเฉพาะการรณรงค์เรื่องต่างๆถ้าทำเป็นเครือข่ายจะได้ผลมากกว่า 
ความหมายของเทคโนโลยี
เทคโนโลยี หมายถึง การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
ความสำคัญของเทคโนโลยี
1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา
3.เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ ให้กลายเป็นสิ่งใหม่ ให้เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม จนเกิดการยอมรับกันเป็นวงกว้างกลายเป็นเทคโนโลยีทำให้สังคมโลกจากเรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกันได้แก่ อิเล็อทรอนิกส์ โทรคมนาคม และข่าวสาร (Electronics , Computer ,Telecomunication and Information หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้พร้อมกัน สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรมการเงินทได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีกำลังทำโลกใบนี้ เล็กลงทุกขณะ เป็นทฤษฎีเทคโนโลยีซึ่งอธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้น เกิดจากปัจจัยทางเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงมาก คือ ทฤษฎีของ William F. Ogburn ทฤษฎีนี้มี ฐานคติ (Assumption) อยู่ 3 ประการ คือ ประการแรก การประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาจะเพิ่มความสลับซับซ้อนของวัฒนธรรม ชีวิตของมนุษย์ก็สับสนขึ้นตามเนื้อหาของวัฒนธรรมนั้น ประการที่ 2 การกระดิษฐ์สิ่งใหม่จะเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ เทคนิคใหม่ ๆ จะทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น การวิภาคสินค้าและบริการก็กระจายออกไปในสังคมมากขึ้น ประการที่ 3 โครงสร้างทางสังคมจะมีการปรับตัวให้เป็นระบบการผลิต การวิภาค และการบริโภค การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นผลจากกระบวนการปรับตัวนี้เอง ออกเบอร์น ยังอธิบายว่า วัฒนธรรมนั้น มีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ วัฒนธรรมทางวัตถุและไม่ใช่วัตถุ การเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้นทางวัตถุก่อน ซึ่งต่อมาทางไม่ใช่วัตถุจะต้องปรับให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุจึงเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านไม่ใช่วัตถุ และวัฒนธรรมด้านไม่ใช่วัตถุจะพยายาม ปรับตัวให้ทันกัน ด้วยเหตุนี้ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่อันเกิดการใช้เทคโนโลยีจึง เป็นเหตุให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น ทฤษฎีนวัตกรรมแนวเครือข่ายเทคโนโลยี (the technology network theory of innovation) คือ ความสามารถในการกระจายสื่อสารโดยใช้การติดต่อสื่อสารโดยตรงหรือใกล้เคียงกันจากคนหนึ่งไปยังอีกคนจำนวนมากหรือสื่อสารได้พร้อมกันในหลายสถานที่ ซึ่งมีความแตกต่างกัน สามารถใช้ได้หลากหลายวิธีในการศึกษาทั้งอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันอย่างรวดเร็วและทุกรูปแบบอย่างที่ได้กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของที่มาของข้อมูลดังกล่าวว่ามาจากภายนอกองค์กร คือมาจากลูกค้า ซัพพลายเออร์ ที่ปรึกษา ห้องปฏิบัติการ หน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี เครือข่าย บน"ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระบบเน็ตเวิร์ก คือกลุ่มของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่ายร่วมกันได้" เครือข่ายนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกันด้วยคอมพิวเตอร์เพียงสองสามเครื่อง เพื่อใช้งานในบ้านหรือในบริษัทเล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก ผ่านอุปกรณ์การสื่อสารที่นับวันยิ่งมีหลายรูปแบบ มีการแลกเปลี่ยนการทำงาน เช่น ระบบกลุ่มเมฆ Cloud computing  เป็นต้น และอีกช่องทางของเครือข่ายเทคโนโลยี คือ เทคโนโลยีของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดขึ้นและเติบโตของอุปกรณ์ดีไวซ์ชนิดใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งวิวัฒนาการเช่นนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการใช้งานเพื่อประโยชน์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานบนเครือข่ายเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมเครือข่ายที่ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ดังนั้น เทคโนโลยีการสื่อสารบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่มีใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน จะยังคงได้รับการพัฒนาต่อไป เพื่อปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความสามารถของระบบให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีเสริมเพื่อใช้ในกรณีเฉพาะ ซึ่งการใช้งานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างเทคโนโลยีเสริมและเทคโนโลยีหลักอย่าง 3G และ 4G จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้งานและบริการรูปแบบใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น วิวัฒนาการของเทคโนโลยีลักษณะดังกล่าว ถือว่าเป็นต้นแบบของยุค 5G ซึ่งประกอบไปด้วยการใช้เทคโนโลยีสัญญาณวิทยุหลายประเภทรวมกันอย่างเป็นระบบ ก็จะทำให้สังคมเครือข่ายเกิดขึ้นได้จริงภายในปี 2563 โดยเทคโนโลยีหลักในอนาคตยังคงเป็น LTE, HSPA และ Wi-Fi ซึ่งล้วนจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยกันทั้งหมด แม้กระทั่ง GSM ซึ่งยังคงมีความสำคัญในหลายพื้นที่ทั่วโลก ดังนั้น ยุค 5G ในอนาคต ไม่ใช่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อทดแทนของเก่า แต่จะเป็นวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเดิมร่วมกับการใช้ RATs (Radio Access Technology) ใหม่ๆ เพื่อเสริมสมรรถนะของระบบโดยรวมเพื่อใช้ในงานเฉพาะด้านเท่านั้น ทำให้เกิด ความท้าทายใหม่ของโลกเครือข่าย กล่าวคือ ผู้ใช้โมบายล์บรอดแบนด์ในอนาคต จะสามารถเชื่อมต่อสู่โลกอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไร้สายได้อย่างไร้ขีดจำกัด หมายถึงการเชื่อมต่อและได้รับบริการตามต้องการในทันที โดยไม่ต้องใช้เวลานานหรือติดปัญหาในการเชื่อมต่อ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไปหรือภาคธุรกิจ นอกจากนั้นแล้ว อุปกรณ์ลูกข่ายและบริการใหม่ที่หลากหลายเพื่อเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ จะปรากฏขึ้นให้เห็นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณจราจร ยานพาหนะ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ถังขยะ ระบบการส่งไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมายที่ได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีทั้งต่อบุคคล ธุรกิจ และสังคมโดยรวม ระบบ 5G จะต้องสามารถให้บริการที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูง เพื่อการใช้งานที่หลากหลายดังกล่าว
จากการประมาณการด้วยวิธีที่แตกต่างกัน สามารถสรุปได้ว่า ในช่วงหลังจากปี 2563 เครือข่ายโทรศัพท์มือถือจะต้องรองรับปริมาณการใช้งานที่มากกว่า 1,000 เท่า เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ซึ่งทุกวันนี้อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีจำนวนมากถึง 5 พันล้านเครื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์แบบพกพาหรืออุปกรณ์เพื่อการใช้โมบายล์บรอดแบนด์ผ่านคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตในอนาคตมีการคาดการณ์ว่าอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสื่อสารระหว่างมนุษย์เป็นหลัก จะมีจำนวนน้อยกว่าอุปกรณ์เพื่อการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรสิ่งของ 10-100 เท่า ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด อุปกรณ์สำหรับ Smart City, Smart Home และ Smart Grid รวมทั้งเซ็นเซอร์ประเภทต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเน้นย้ำถึงความเข้มแข็งเกิดจากการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสถาบันภายนอก มีการถ่ายทอดข้อมูลทางนวัตกรรม มีการเชื่อมโยงทางเทคนิค เชื่อมโยงทางการตลาดและเครือข่ายข้อมูลนวัตกรรม อันเกิดจากทฤษฎีแนวคิดของนวัตกรรมทางด้านเครือข่ายเทคโนโลยีนี้เอง

อ้างอิง
ไพโรจน์ กลิ่นกุหลาบ (2550).เครือข่ายการเรียนรู้.สารานุกรมวิชาชีพครู หน้า 157-161 ค้นจากเวปเมื่อ 25 ธันวาคม 2557 จากhttps://sites.google.com/site/supoldee/kherux-khay-kar-reiyn-ru
ปราการ เกิดมีสุข (2552). เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา ค้นจากเวปเมื่อ 25 ธันวาคม 2557 จาก http://www.phojae.skn.go.th/Knowlage/pakarn.pdf

ปรีดา ยังสุขสถาพร. (2556). Innovation System สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ค้นจากเวปเมื่อ 25 ธันวาคม 2557 จากhttp://www.nia.or.th/innolinks/page.php?issue=201304&section=5